เมืองไทย 360 องศา
กระแสการปรับคณะรัฐมนตรีเริ่มมีการพูดถึงกันหนาหูอีกครั้ง โดยเฉพาะหลังจากการปิดสมัยประชุมสภาไปแล้ว อีกทั้งเหมือนกับว่า “ไทม์มิ่ง” กำลังได้พอดี ในช่วงเดือนเมษายน จนถึงพฤษภาคม โดยในเดือนพฤษภาคมนั้น สว.ชุดนี้จะหมดวาระลงพอดี ดังนั้นดูเหมือนทุกอย่างลงตัวพอดี
อย่างไรก็ดี มีการประเมินว่าการปรับคณะรัฐมนตรีคราวนี้ หากมีขึ้นก็น่าจะเป็นเพียงการ “ปรับเล็ก” แต่ก็ “เป็นกอบเป็นกำ”เหมือนกัน ซึ่งน่าจะราวๆ 4-5 ตำแหน่ง และคราวนี้เป้าหมายก็น่าจะเป็นพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำรัฐบาลนั่นเอง และหากมีพรรคร่วมรัฐบาลอีกพรรค ก็คงเป็นพรรคพลังประชารัฐแต่คงเป็นการเพิ่มตำแหน่งให้ครบโควตา
สำหรับพรรคเพื่อไทย หากพิจารณาจาก “แบ็กกราวด์” ที่เวลานี้รัฐบาลอายุเกินกว่า 7 เดือนแล้ว ถือว่าได้ค่าเฉลี่ยที่ถึงเวลาต้องมีการปรับเปลี่ยนหมุนเวียนกันแล้ว โดยเฉพาะในตำแหน่งมีการตอบแทนแลกเปลี่ยนทางการเมืองในกลุ่ม“บ้านใหญ่” ในบางจังหวัด แต่ในระดับ “แกนนำหลัก” เชื่อว่าคงไม่ขยับ หรือมีน้อย ซึ่งก็จะเป็นแบบนี้มาตลอด นับตั้งแต่ในยุคพรรคไทยรักไทย ที่คุมเกมโดย นายทักษิณ ชินวัตร
ขณะเดียวกันเมื่อมองตามรูปการณ์แล้ว จนถึงนาทีนี้ยังมั่นใจว่ายังไม่ถึงเวลาเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี จากนายเศรษฐา ทวีสิน ไปเป็นคนอื่นค่อนข้างแน่ เพราะคงไม่เป็นผลดีกับคนที่จะขึ้นมาแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็น “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวของนายทักษิณ ก็คงไม่เหมาะ หากขึ้นมาก็ไม่ต่างจากการ “ถูกเชือด” ดีๆ นี่เอง เนื่องจากบรรยากาศทั้งการเมืองและเศรษฐกิจยังไม่นิ่ง ที่สำคัญนโยบายสำคัญอย่าง “ดิจิทัล วอลเล็ต” ยังลูกผีลูกคน ยิ่งไม่ควรเสี่ยง
สำหรับความเห็นในเรื่องปรับคณะรัฐมนตรี ที่น่าจะใกล้เคียงความเป็นไปได้มากที่สุด ก็น่าจะเป็น นายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่เชื่อว่าหากปรับคณะรัฐมนตรี น่าจะเป็นในส่วนของพรรคเพื่อไทยมากที่สุด
นายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และในฐานะคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีกระแสข่าวการปรับ ครม. ว่า โดยปกติการจะปรับครม. จะกระทบเฉพาะพรรคแกนนำรัฐบาล ตนคิดว่าเป็นเรื่องภายในพรรค ซึ่งดูจากกระแสแล้ว ภายในพรรคเพื่อไทย มีความจำเป็นต้องปรับครม. เพราะมีบุคคลที่เหมาะสมและตกค้างขบวนหลายคน แต่การจะปรับกระทบไปถึงพรรคอื่น สิ่งที่ต้องทำคือ ตัวนายกรัฐมนตรีเองจะต้องมีการหารือกับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล ในส่วนที่มีความประสงค์จะปรับครม. ตนได้คุยกับหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่านบอกยังไม่มีสัญญาณอะไรมาถึง ฉะนั้นขอให้ทุกคนในพรรคอยู่นิ่งๆ เพราะยังไม่มีเรื่องของการปรับครม. แน่นอน หากจะมีคนที่รู้คนแรกคือ หัวหน้าพรรค
ด้านนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวการปรับครม. ว่า เรื่องการปรับครม. สื่อสามารถถามตนได้ และเมื่อสักครู่ได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ก็ไม่ได้มีการพูดจาอะไรในเรื่องนี้ พร้อมย้ำว่า ไม่ต้องเงี่ยอะไรหรอก ถามตนโดยตรงได้เลย
ถามว่า มีการมองกันว่าโควตาในส่วนของพรรคเพื่อไทย ยังเหลืออีกหนึ่งตำแหน่ง ฉะนั้นอาจจะมีการปรับ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรายังมีอีกตำแหน่งที่เหลืออยู่ตรงนั้น เดี๋ยวค่อยไปว่ากันเมื่อถึงเวลา ส่วนพรรคประชารัฐ (พปชร.) เสนอชื่ออีกหนึ่ง ในโควตาที่เหลืออยู่มาหรือยัง นายเศรษฐา กล่าวว่า ยังเลย และยังไม่ได้เจอ ยังไม่ได้พูดคุย ซึ่งพรุ่งนี้ วันที่ 9 เมษายน จะมีการประชุมครม. ตามปกติ หากเจอ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ตนก็จะไม่ถาม แต่ถ้าท่านบอกมา ก็จะรับทราบ และอย่างที่ได้บอกว่าเป็นโควตาของท่าน หากจะเสนอใครก็เสนอเข้ามา และผ่านไปที่คณะกรรมการตรวจสอบ
เมื่อถามว่า โควตาพรรคเพื่อไทยที่ยังเหลืออยู่ ได้มีการพิจารณากันหรือยัง นายเศรษฐา กล่าวว่า ภายในพรรคก็คงจะมีการพูดคุยกัน เดี๋ยวเขาก็คงเสนอขึ้นมา ส่วนที่ว่าหากมีการปรับครม. อยากจะปรับเล็ก หรือปรับใหญ่ นายเศรษฐา กล่าวว่า สื่อถามเหมือนจะมีการปรับ และหลอกล่อให้ตนพูด
เมื่อถามว่า มีการมองกันว่าหากปรับใหญ่แรงกระเพื่อมจะสูง นายกฯอาจจะปรับเฉพาะตำแหน่งที่ว่าง และจำเป็นจริงๆ หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เหมือนกับคำพูดที่ว่าคนรวยคนจน ตรงไหนคือคนรวย ตรงไหนคือคนจน ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าตนบอกปรับเล็ก แล้วปรับเล็กคืออะไร คือ 3 ตำแหน่งหรือ 6 ตำแหน่ง และ 6 ตำแหน่ง ก็อาจจะมองว่าก็ยังเล็กอยู่ ดังนั้นอย่าไปพูดว่าเล็กหรือใหญ่เลยดีกว่า ไว้ถึงเวลาเหมาะสมเกิดขึ้นแน่นอน
เมื่อถามว่า การตัดสินใจปรับครม. จะใช้อำนาจคนเดียวหรือปรึกษาใครหรือไม่ในพรรคร่วมรัฐบาล นายเศรษฐา กล่าวว่า "การทำงานของผมตั้งแต่เป็นนักธุรกิจมา จนกระทั่งก้าวสู่เวทีการเมือง ผมให้เกียรติเพื่อนร่วมงานทุกคน ฉะนั้นการจะทำอะไร ต้องมีการพูดคุย ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่แน่นอนครับผมเป็นคนจรดปากกาเสร็จ”
เมื่อประเมินจากคำพูดดังกล่าวของ นายเศรษฐา ทวีสิน แล้วก็พอเข้าใจได้ว่า การปรับครม. น่าจะเป็นการ “ปรับเล็ก” ในส่วนของพรรคเพื่อไทย ที่ยังเหลือโควตาอีกหนึ่งเก้าอี้ รวมทั้งพรรคพลังประชารัฐ ที่ยังเหลืออีกหนึ่งตำแหน่งเช่นเดียวกัน เนื่องจากก่อนหน้านี้มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ
อย่างไรก็ดี สำหรับพรรคเพื่อไทย ยังมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการ “หมุนเวียน” หรือปรับเพิ่มอีกบางตำแหน่ง โดยเฉพาะในกลุ่ม “บ้านใหญ่” ที่ต้องให้คนอื่นเข้ามานั่งแทนบ้าง หรือแม้แต่เก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ นายเศรษฐา นั่งควบอยู่ ก็อาจมีการเปลี่ยนตัว ก็เป็นไปได้เหมือนกัน
ดังนั้น เมื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้นาทีนี้น่าจะออกมาในลักษณะ “ปรับเล็ก” ไปก่อน เป็นลักษณะการปรับให้ลงตัวในพรรคเพื่อไทยมากกว่า คงยังไม่ไปไกลถึงขั้นเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีในช่วงเวลานี้ เพราะน่าจะส่งผลลบมากกว่าผลบวก ส่วนจะปรับกี่ตำแหน่งนั้นยังไม่ชัวร์ แต่เชื่อว่าคงไม่น้อยกว่า 3 ตำแหน่งค่อนข้างแน่ !!