ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ปชป.เข้าสู่ปีที่79 “เสี่ยต่อ”โวก้าวข้ามการเมืองน้ำเน่า เจอ “เชาว์ มีขวด”เหน็บ ยึดพรรคได้แบบเบ็ดเสร็จ 4 เดือน หายใจทิ้งไปวันๆ
ครบขวบปีที่ 78 และก้าวขึ้นสู่ปีที่ 79 เรียบร้อย เมื่อวันที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองที่เรียกได้ว่า เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยที่ยังดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้
ภายในงานทำบุญ ณ ที่ทำการพรรค ถนนเศรษฐศิริ บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักตามสมควร มีแขกเหรื่อมาร่วมแสดงความยินดีมากมายทั้งศิษย์ปัจจุบัน และศิษย์เก่า อย่าง เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ , ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง, อันวาร์ สาและ, อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เป็นต้น รวมทั้งตัวแทนพรรคการเมืองที่เคยร่วมรัฐบาลกันมาในอดีต เช่น ภูมิใจไทย พลังประชารัฐ ชาติไทยพัฒนา แม้กระทั่ง “พี่เต้” มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ก็มาร่วมอวยพรด้วย
ภายหลังพิธีทำบุญ “เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว ถึงการก้าวเข้าสู่ปีที่ 79 ของพรรค ว่า ถือว่าพรรคมีประสบการณ์เพิ่มอีก 1 ปี พูดได้เต็มปากว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นสถาบันทางการเมือง จะอยู่คู่กับประเทศไทยไปอีกนาน แต่ก็จะต้องปรับตัว ขอให้รอดูที่การประชุมใหญ่พรรคช่วงปลายเดือนเม.ย.นี้ ซึ่งจะมีการแก้ไขข้อบังคับพรรค เปิดกว้างให้คนรุ่นใหม่เข้ามา พร้อมสร้างความมั่นใจว่าพรรคจะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
อีกประเด็น ที่นักข่าวอยากฟังจากปาก “เสี่ยต่อ” ก็คือเรื่องการเข้าร่วมรัฐบาล ซึ่งเป็นกระแสข่าวหนาหูในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แถม “นายกฯนิด” เศรษฐา ทวีสิน ยังให้สัมภาษณ์นักข่าวเมื่อวันก่อน เชื่อว่ามีการพูดคุยขอเข้าร่วมรัฐบาลแน่นอน แต่จะยังไม่รับเข้าร่วม เพราะ 314 เสียง ก็แน่นพอแล้ว
เรื่องนี้ “เสี่ยต่อ”ได้ท้าไปยัง“นายกฯ นิด” กลางงานทำบุญพรรคว่า ควรต้องบอกให้ชัดเจนว่าใครพูดกับใคร ที่ไหน ไม่เช่นนั้นพรรคประชาธิปัตย์เสียหาย ถ้าไม่ใช่ อย่าพูด การพูดในสิ่งที่ไม่ชัดเจน ไม่ดีกับทุกฝ่าย ส่วนจะมีสมาชิกของพรรคแอบไปพูดคุยหรือไม่ ตนไม่ทราบ แต่ตนไม่เคยคุยเรื่องร่วมรัฐบาล
เมื่อถามว่า กระบวนการปล่อยข่าวร่วมรัฐบาล เป็นการดิสเครดิตพรรคหรือไม่ “เสี่ยต่อ” ตอบเลี่ยงๆว่า มั่นใจไม่ใช่คน ประชาธิปัตย์ เป็นคนปล่อยแน่นอน ส่วนจะปล่อยเพื่อดิสเครดิตหรือไม่นั้น ต้องคิดดู ปชป. ก้าวข้ามการเมืองน้ำเน่าแบบนี้นานแล้ว ลองไปคิดดูเรื่องจังหวะที่ออกข่าว แล้วมีคนออกมาพูด มีการรับลูกกัน ใครควรจะเป็นคนปล่อย
หลังงานทำบุญพรรคผ่านไป 1 วัน ก็มีลูกแม่พระธรณีด้วยกันเอง อย่าง “เชาว์ มีขวด” อดีต รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาโพสต์ข้อความเย้ยหยัน “เสี่ยต่อ” ทำนองว่า รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคมาตั้งแต่ วันที่ 10 ธันวาคมปีที่แล้ว รวมเวลาบริหารพรรคเกือบ 4 เดือน ยึดพรรคได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว จะพัฒนาปรับปรุงอย่างไร ย่อมทำได้ตามใจนึก
แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่จะพลิกวิกฤตของพรรคให้เป็นโอกาส หรือความพยายามที่จะฟื้นศรัทธาประชาชนกลับมา เห็นแต่การหายใจทิ้งไปวันๆ กับการทอดถอนใจของคนรักพรรคจำนวนไม่น้อย ที่ทำได้แค่ดูอยู่ห่างๆ มองอย่างห่วงๆ เท่านั้น
3 เดือนแรก หัวหน้าพรรคคนปัจจุบันประกาศไว้ว่า จะต้องทำให้การเปิดกว้างด้านยุทธศาสตร์พรรค นโยบายพรรค การสื่อสารกับมวลชนผ่านโซเชียลฯ ต้องมีรูปธรรมให้เห็น แต่ที่เห็นเป็นจริงคือ สภาพเดิมไร้การเปลี่ยนแปลงในเชิงรุก
สิ่งเดียวที่ “ทนายเชาว์” คิดว่า “เสี่ยต่อ”พูดถูก คือ โลกเปลี่ยน ทุกอย่างเปลี่ยน ถ้าประชาธิปัตย์ไม่เปลี่ยน เราจะไม่มีปีที่ 79 แต่น่าเสียดายที่เห็นแค่คำพูดจากลมปากที่ปราศจากการกระทำ และอุดมการณ์การเมืองที่หนักแน่น
ที่ “ทนายเชาว์” พูดมาก็ดูเข้าเค้า ดูเอาเถอะ อย่างข่าวที่ว่ามีคนแอบไปคุยของเข้าร่วมรัฐบาล “เสี่ยต่อ” ปฏิเสธเสียงแข็งว่า ตนเองไม่ได้เป็นคนไปคุย แต่เมื่อนักข่าวถามว่า ถ้ารัฐบาลต้องการให้ร่วมรัฐบาล ทางประชาธิปัตย์ มีเงื่อนไขหรือไม่ว่าต้องได้กระทรวงใดบ้าง “เสี่ยต่อ” ก็บอกว่า มันมีกระบวนการที่จะพิจารณามากกว่าที่จะมานั่งคุยกัน ตกลงกัน คิดว่าต้องเข้าสู่กระบวนการของพรรคก่อน ถึงจะพิจารณาว่า จะทำอย่างไรต่อไป
สรุปก็คือ ถ้าจะให้ร่วมจริงๆ ก็ไม่ปฏิเสธ เพียงแต่ให้มันผ่านกระบวนการของพรรคเสียหน่อย
ข้อครหาที่ว่าเอาแต่จ้องร่วมรัฐบาล ก็ยังคงติดหน้าผากแกนนำประชาธิปัตย์ยุคนี้อยู่ดี แล้วอย่างนี้จะเรียกว่า ก้าวข้ามการเมืองน้ำเน่าได้ยังไง
**เศรษฐา ยกนิ้วโป้ง แกงไตปลาหรอยแรง!!
หลังจากใช้สมาธิไปกับการรับมือ และชี้แจงตอบโต้ในศึกอภิปรายของฝ่ายค้าน ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ก็ยกคณะลงพื้นที่ภาคใต้ ที่ จ.สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช
และช่างประจวบเหมาะกับที่ “นายหัวชวน หลีกภัย” ส.ส.ประชาธิปัตย์ เพิ่งอภิปรายว่า รัฐบาลไม่ค่อยให้ความสำคัญกับจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ การลงพื้นที่ครั้งนี้จึงเป็นเสมือนคำตอบว่า ที่สส.ประชาธิปัตย์ว่ามานั้น ไม่จริง
จุดที่เป็นเป้าหมายสำคัญของการลงพื้นที่ครั้งนี้ อยู่ที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง ติด Top 10 ของไทย แต่ “นายกฯเศรษฐา” ตั้งเป้าอยากให้ติด Top 10 ของโลก จึงต้องลงไปสัมผัส ไปรับรู้ปัญหา เพื่อกำหนดแนวทางพัฒนาให้เป็นไปตามเป้าหมาย ...นายกฯ บอกว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ไปเกาะสมุย
การจะยกระดับ เกาะสมุย เป็นเกาะระดับโลก ก็ต้องเน้นที่เรื่องสาธารณูปโภคพื้นฐานเป็นอันดับแรก ซึ่งปัญหาหลักๆ ของเกาะสมุย ก็คือ เรื่องการคมนาคมขนส่งจากแผ่นดินใหญ่ไปยังเกาะ การคมนาคมภายในเกาะ ปัญหาขยะ ปัญหาน้ำจืด
หลังจากค้างคืนที่เกาะสมุย ในคืนวันที่ 6 เม.ย. ช่วงเช้าวันที่ 7 เม.ย.นายกฯและคณะ ก็ไปตรวจสถานที่ก่อสร้างโครงการท่าเทียบเรือสำราญขนาดใหญ่ (Cruise Terminal) ที่แหลมนิคม ต.ตลิ่งงาม โดยเปิดให้เอกชนร่วมลงทุน คาดว่าจะใช้เวลา 3 ปี (ปี 2570-2572) เมื่อท่าเรือเปิดใช้ ก็จะเปิด Duty Free ด้วย ซึ่งนายกฯรับปากว่า จะนำโครงการนี้เข้าที่ประชุมครม. ก่อนสิ้นปี 67 เพื่อเป็นของขวัญให้กับชาวสุราษฎร์ธานี
ส่วนปัญหาขยะล้นเกาะในช่วงที่เตาเผาขยะเดิมชำรุด จนต้องลำเลียงออกไปกำจัดนอกพื้นที่นั้น นายกฯบอกว่า ในระยะสั้น อาจต้องเอาขยะออกไปกำจัดนอกเกาะ ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งก่อน แล้วระยะยาวต้องหาทางจัดการที่ยั่งยืน เช่น สร้างเตากำจัดขยะ หรือ โรงผลิตไฟฟ้าชีวมวล แล้วแต่ความเหมาะสม โดยมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างละเอียดรอบคอบ พร้อมรับฟังพี่น้องประชาชนในพื้นที่ให้ทั่วถึงด้วย
ปัญหาน้ำประปา นายกฯบอกข่าวดีว่า เรื่องท่อน้ำที่เสนอมานั้น อยู่ในงบประมาณ ปี68 แล้ว เพราะฉะนั้นเดือนตุลาคมนี้ จะสามารถเดินท่อส่งน้ำประปา จากสุราษฎร์ธานี เข้ามาที่เกาะสมุยได้ แต่ในระยะสั้นนี้ ได้สั่งให้เร่งปรับปรุงระบบผลิตน้ำทะเลเป็นน้ำจืด คาดว่าใช้เวลา 3 - 4 เดือนจะแล้วเสร็จ
การสร้างถนนภายในเกาะก็ได้สั่งการกรมทางหลวงไปแล้วว่า ต้องทำด้วยความระมัดระวัง เพราะอาจจะกระทบต่อพี่น้องประชาชน ปัญหาเรื่องพื้นที่ป่าไม้ ต้องมีการประสานกับหลายหน่วยงาน ส่วนเรื่องการแก้ไขปัญหาระยะยาว อย่างเช่นการสร้างสะพานจากแผ่นดินใหญ่มายังเกาะ ก็คงต้องศึกษากัน ต้องดูให้รอบคอบถึงความคุ้มค่า โดยเฉพาะผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม
ในเรื่องปัญหาด้านความมั่นคง ความปลอดภัย ปัญหามาเฟีย ก็ได้คุยกับ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และได้เน้นย้ำเรื่องเหล่านี้ไปแล้ว ทั้งการตรวจคนเข้าเมือง การขอขยายเวลาวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยว ให้อำนวยความสะดวก ดูแลให้ทั่วถึง
ส่วนไฮไลต์ของการลงพื้นที่เกาะสมุย ของนายกฯและคณะครั้งนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องอาหารมือกลางวัน ที่ “ร้านเสบียงเล” โดยหนึ่งในเมนูเด็ดที่ทางร้านจัดให้ คือ “แกงไตปลา”
แกงพื้นถิ่นปักษ์ใต้ ที่เว็บไซต์ TasteAtlas เพิ่งจัดอันดับว่าเป็นเมนูอาหาร “ยอดแย่” ของโลก เล่นเอาคนไทยที่ได้รู้ข่าว อารมณ์ขึ้น ยิ่งคนที่ชื่นชอบแกงไตปลา ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ รวมถึงช่วยกันติดแฮชแท็ก “#saveแกงไตปลา” จนกลายเป็นวาระแห่งชาติ
เมื่อนายกฯเศรษฐา” ได้ชิมแกงไตปลา ถึงกับออกปากชมว่า “อร่อยมากครับ” พรี้อมยกนิ้วโป้งให้
เมื่อถูกถามว่า อยากจะบอกอะไรกับคนที่จัดอันดับแกงไตปลา ว่ายอดแย่หรือไม่ นายกฯบอกว่า...ไม่ขอตอบโต้ เพราะเขามีสิทธิ์ที่จะไม่ชอบ แต่ผมชอบ ฝรั่งก็มีอะไรหลายอย่างที่แตกต่างจากเรา ซึ่งเราก็ยอมรับได้ ไม่ใช่ว่าเขาชอบบางอย่าง หรือไม่ชอบบางอย่าง เราไปบอกเขาไม่ได้ อาหารไทยมีเยอะ ต้มยำกุ้ง แกงมัสมั่นไก่ ก็ติดอันดับโลกทั้งนั้น
นายกฯบอกว่า เป็นคนชอบรับประทานทานอาหารรสจัด ว่าแล้วก็กินแกงไตปลาโชว์อีกรอบ พร้อมชมว่า อร่อยจริงๆ ไม่ได้อร่อยเล่นๆ...หรอยแรง!!