เมืองไทย 360 องศา
การวิดีโอคอลของนายทักษิณ ชินวัตร เพื่อปลุกขวัญให้กับลูกพรรคเพื่อไทย พร้อมกับแสดงท่าทีหนุนหลังให้ลูกสาวของตัวเองคือ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นผู้นำพรรค และเป็นทายาททางการเมือง โดยอ้างถึงดีเอ็นเอ ด้านดีของตัวเองกับภรรยา คือ คุณหญิง พจมาน ดามาพงศ์ ความหมายก็คือ นอกจากนาทีนี้นายทักษิณ จะลงมาคุมเกมทั้งในและนอกพรรคเต็มตัว และให้ลูกสาวเป็นตัวแทนทางการเมือง และเป็นผู้นำที่ดี เพื่อกลับมาทวงแชมป์รักษาอำนาจเอาไว้ให้ได้
ระหว่างการประชุมใหญ่ ที่พรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 5เมษายน มีการจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทย และ บรรดารัฐมนตรีสัดส่วนพรรคเพื่อไทยรวมถึงแกนนำพรรคเพื่อไทยเข้าร่วมกันอย่างคึกคัก
ระหว่างการจัดประชุมใหญ่ครั้งนี้ ช่วงหนึ่งได้เปิดวีดิทัศน์การให้สัมภาษณ์ของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ให้แก่สมาชิกพรรคได้รับฟัง ช่วงหนึ่ง นายทักษิณ ระบุว่า พรรคเพื่อไทยถูกกล่าวหาว่าเป็นพรรคอนุรักษ์นิยมใหม่ เรื่องนี้บอกได้เลยว่าไม่ได้อยู่ในดีเอ็นเอของพรรคเพื่อไทย หรือไทยรักไทย แต่พรรคเพื่อไทยจริงๆ สร้างมาจากไทยรักไทย เป็นพรรคที่รีฟอร์มหรือเป็นพรรคผู้นำในการเปลี่ยนแปลง ถ้าจำได้พรรคไทยรักไทย เริ่มเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ระบบประกันสุขภาพ การเอาเงินจากเมืองหลวงกลับไปสู่ชนบท กระจายเงินออกไป และเรื่องการดูแลสินค้าเกษตร ทุกเรื่องเป็นเรื่องใหม่หมดที่ไทยรักไทยทำ และพรรคเพื่อไทยก็ทำมาต่อเนื่อง
ซึ่งในวันนี้พรรคเพื่อไทยก็กำลังจะทำดิจิทัลวอลเล็ต โคตรใหม่ ไม่ใช่ใหม่ธรรมดา ฉะนั้น วันนี้เราไม่ได้อยู่กับเรื่องโบราณแน่นอนเพราะโลกเปลี่ยนไป เพื่อไทยก็ต้องปรับตัวเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ระบบทุนนิยมที่ไร้ความเมตตาธรรมจะไม่สามารถทำให้ประชาชนมีความสุขได้ และวันนี้ต้องเข้าใจว่าสังคมเปลี่ยนไปแล้ว การเข้าถึงประชาชนเป็นหัวใจสำคัญทั้งทางกายภายหรือทางสื่อ และต้องสะท้อนปัญหาของประชาชนในสภาได้ ถึงแม้จะไม่เป็นผู้บริหาร ฉะนั้นอยากให้สส. ของพรรคเพื่อไทยเข้าถึงประชาชน การทำงานในสภาให้เข้มแข็ง และหัวใจคือต้องเป็นนักการเมืองที่รักประชาชน ประชาชนเดี๋ยวนี้มองตาเราก็รู้ว่ามีเมตตาธรรม หรือเราเป็นคนถือตัวไม่สนใจเขามองออกฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จะอยู่กับความรู้สึกของชาวบ้านจะมาเสแสร้งไม่กี่วัน หนึ่งเดือนตอนเลือกตั้งเขาก็รู้หมดแล้ว ฉะนั้นเราต้องอยู่กับชาวบ้านให้ได้
“ผมมั่นใจว่า นายกฯเศรษฐา สามารถนำพาประเทศได้ เพราะท่านเป็นนักบริหาร มีประสบการณ์มาก การมีเครือข่ายที่ส่งเสริมช่วยเหลือ สนับสนุนกันเป็นสิ่งที่จำเป็น สำหรับผมเป็นคนบ้านนอก ตอนเป็นนายกฯ ก็ไม่มีเครือข่ายในกรุงเทพฯ มีทั้งจุดอ่อนจุดแข็ง เป็นการวางตัวที่เหมาะของพรรคเพื่อไทย นายกฯ เศรษฐา เหมาะที่จะลงไปในช่วงที่เปลี่ยนผ่านระหว่างการเมืองที่มีหลายพรรค สำหรับอิ๊งค์ ผมมั่นใจว่า จะสามารถนำทีมพลิกเกมได้ไม่ยาก เป็นดีเอ็นเอระหว่างคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ กับผม ผสมกันเป็น อิ๊งค์ คือเอาส่วนเข้มแข็ง อดทน เด็ดขาด มาจากคุณหญิงพจมาน และเขาเอาส่วนที่พบปะผู้คน เข้าใจการเมืองมาจากผม และเชื่อว่าเขาเป็นผู้นำที่ดีได้ ไม่ใช่มาเชียร์ลูก แต่ในเมื่อผมทำได้ ดีเอ็นเอผมก็ต้องทำได้ และทำได้ดีกว่าด้วย” นายทักษิณ ระบุ
คำกล่าวดังกล่าวของ นายทักษิณ ชินวัตร นอกจากเป็นการประกาศให้รับรู้กันว่า เขาให้การสนับสนุนลูกสาวของเขาให้เป็นทายาททางการเมือง และเป็นผู้นำพรรคเพื่อเดินหน้าสานต่อแนวทางของเขา ซึ่งความหมายก็คือ ให้การสนับสนุนเต็มตัว และยังเป็นการปลุกเร้าให้สมาชิกพรรคและประชาชนให้การสนับสนุน ขณะเดียวกันยังชี้ให้เห็นอีกว่า สำหรับ นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นแค่ผู้นำ “ขัดตาทัพ” นั่นคือเป็น “ผู้นำในช่วงเปลี่ยนผ่าน” ในยุคของการเป็นรัฐบาลผสม เท่านั้น หลังจากนั้นก็จะเป็นยุคของ “อุ๊งอิ๊ง” ที่จะมาเป็นผู้นำคนต่อไป
ขณะที่ นายเศรษฐา กล่าวว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมา เราแพ้เลือกตั้ง ฟังแล้วบีบหัวใจแต่คือความจริง เราได้ 141 เสียง จาก 500 เสียง ตนเองในฐานะสมาชิกพรรค ในฐานะแคนดิเดตนายดฯ ก็เจ็บปวด ก็ต้องรับผิดชอบส่วนหนึ่งด้วย ทั้งการเข้าถึงพี่น้องประชาชนไม่เต็มที่ การไม่ไปดีเบท ตนเองคงไม่มาแก้ตัวใดทั้งสิ้น ขอน้อมรับกับผลที่ออกมา กับข้อกล่าวหา แต่ตนเองเป็นคนที่ไม่แพ้ตลอดกาล
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า เมื่อสักครู่ที่ผู้นำจิตวิญญาณของพรรค บอกว่าตอนนี้เหมาะสม เพราะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน เนื่องจากมีนัยสำคัญเยอะมาก หากไปดูประวัติของตนเอง เชื่อว่าชีวิตตนเองครบหมดทุกอย่างแล้ว ทั้งครอบครัว ความสำเร็จในการบริหาร แต่การก้าวเข้ามาตรงนี้ เรื่องเดียวที่มีความปรารถนา คือการนำชัยชนะกลับมาให้พรรคเพื่อไทยอีกครั้ง
“ผมบอกทุกคนว่า ผมต้องชนะเลือกตั้งครั้งต่อไป ไม่มีอะไรที่จะมาทำให้ผมไม่สามารถทำได้ จะทุ่มเทกายและใจ ในอีก 3 ปีครึ่งข้างหน้า เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของทุกคนในพรรค เพื่อไปถึงจุดนั้นให้ได้”
แน่นอนว่า ทั้ง นายทักษิณ และ นายเศรษฐา ต่างก็เชื่อว่า ด้วยรากฐานและบารมีที่วางเอาไว้ จะสามารถนำพาพรรคเพื่อไทย ให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง โดยเฉพาะ นายเศรษฐา ถึงกับมั่นใจว่าในการเลือกตั้งครั้งต่อไป พรรคเพื่อไทยจะกลับมาชนะอีกครั้ง แม้ว่าจะมีคำถามเล็กๆ ตามมาว่า เขาจะต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อไหร่ เพื่อให้เปลี่ยนให้น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ขึ้นมาแทน และเขาจะได้มีโอกาสได้นำทัพในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ก็ตาม
อย่างไรก็ดี ความเชื่อดังกล่าวผลออกมาอาจตรงกันข้ามก็เป็นไปได้มาก เนื่องจากสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปแทบจะสิ้นเชิงแล้ว รวมไปถึงมี “คู่แข่งใหม่” ที่ต่างไปจากเดิมมาก โดยเฉพาะกับพรรคก้าวไกล (อาจจะในชื่อใหม่) ซึ่งในการเลือกตั้งที่ผ่านมา พวกเขาก็พ่ายแพ้มาแล้ว ขณะเดียวกันอย่างที่รู้กันก็คือ ทุกอย่างในพรรคเพื่อไทยล้วนขึ้นอยู่กับนายทักษิณ ชินวัตร คนเดียว แต่มาวันที่ทั้งระบบความคิด และวิธีการล้วนต่างไปจากเดิม ความเชื่อมั่นศรัทธาลดลงไปมาก ส่วนหนึ่งล้วนมาจากพฤติกรรมและลักษณะนิสัยส่วนตัว
ตัวอย่างจาก กรณี “ไม่ยอมติดคุก” สร้างภาพลักษณ์ “อภิสิทธิ์ชน” ซึ่งถือว่า “พลาดอย่างแรง” แม้ว่าเขามีกลไกรัฐ และเจ้าหน้าที่ ที่ยอมรับใช้เขาจนผ่านมาได้ แต่ภาพลักษณ์ที่ออกมาถือว่า “ติดลบ” ไม่สง่างาม หรือแม้แต่กรณี “ข้ามขั้ว” เพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสม ก็ยิ่งทำให้เกิดความเสื่อมกว่าเดิม หรือแม้แต่ในเรื่องนโยบายที่ส่วนใหญ่ยังเน้นหนักในเรื่อง “ประชานิยม” ที่ในยุคหนึ่ง อาจเป็นเรื่องแปลกเรียกเสียงฮือฮา เพราะเป็นของใหม่คนไทยยังไม่ค่อยคุ้นชิน แต่ในปัจจุบันเรื่อง “แจก” ทุกพรรคก็แข่งขันแจก แต่กรณีของพรรคเพื่อไทยก็คือ “ยังไม่ได้แจก”สักที อย่างเช่น นโยบายแจก “เงินดิจิทัล วอลเล็ต” ที่ในที่สุดจากที่เคยบอกว่า ไม่กู้ ก็กลับมากู้ หรือไม่ใช้เงินงบประมาณ สุดท้ายก็ต้องตั้งงบประมาณ ทำให้ชาวบ้านเป็นหนี้อีกหลายสิบปี เอาเป็นว่าทุกคนรู้ทันกันหมด
ดังนั้น หากมองว่าการเคลื่อนไหวของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่เข้ามาคุมเกมการเมือง และคุมพรรคเพื่อไทยอย่างเต็มตัว เพื่อผลักดันให้ลูกสาวของเขาเป็นทายาทรับช่วงต่อผู้นำ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นงาน “สุดหิน” ด้วยซ้ำไป ทั้งในเรื่องคู่แข่งใหม่ อย่างพรรคก้าวไกล บรรยากาศใหม่ ความศรัทธาที่ถดถอย ขณะที่คนที่ไม่ชอบก็ยังเหมือนเดิม และแม้ว่าการเลือกตั้งคราวหน้าพรรคเพื่อไทยคงยังเป็นพรรคใหญ่ แต่จะชนะขาดนั้นคงได้แค่ฝัน ซึ่งความเป็นไปได้ก็คือเป็นรัฐบาลผสมกันต่อไป ส่วนจะผสมกันพรรคไหน ค่อยมาว่ากัน !!