xs
xsm
sm
md
lg

เตือนไทยมัวเงียบ เสียดินแดนซ้ำรอยปราสาทพระวิหาร เร่งประท้วงกัมพูชารื้อแนวสันเขื่อน-ยกเลิก MOU 2544 เจรจาตามกติกาใหม่ยูเอ็น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ธีระชัย” ยกบทเรียน ไทยเสียปราสาทพระวิหารและเสียพื้นที่โดยรอบซ้ำ เพราะไม่โต้แย้งแผนที่ฝรั่งเศส จนศาลโลกตัดสินด้วยหลัก “ยอมรับโดยปริยาย” จี้ประท้วงกัมพูชาให้รื้อแนวสันเขื่อนในทะเลใกล้หลักเขตที่ 73 ที่อาจทำให้ไทยเสียดินแดนทางทะเล พร้อมยกเลิก MOU 2544 ที่กำหนดมุมตายตัวลากเส้นตามแนวที่กัมพูชาต้องการ และต้องเจรจาใหม่ ยึดตามกติกายูเอ็นปี 1982 โดยไม่พาดพิงถึงเกาะกูด ซึ่งจะทำให้พื้นที่ทับซ้อนน้อยลง

วันที่ 6 เมษายน 2567 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความในเฟซบุก๊ หัวข้อเรื่อง พื้นที่ทับซ้อน-ทำให้ไม่ซับซ้อน (2) มีรายละเอียดดังนี้

ในรัชสมัยล้นเกล้ารัชกาลปัจจุบันนี้ คนไทยต้องช่วยกันระวังไม่ให้ประเทศต้องเสี่ยงจะเสียดินแดนในทะเล ดังที่เคยเสียดินแดนบนบกไปแล้วในรัชสมัยล้นเกล้า ร.9
ถามว่า มีบทเรียนจากการที่ไทยต้องเสียดินแดนเขาพระวิหารสองครั้ง อย่างไร?

***การเสียดินแดนครั้งที่หนึ่ง

รูป 1 เอกสารแนบสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 ใน Section 1 ที่ข้อความช่วงต้นระบุใช้ยอดสูงสุดบนเกาะกูดสำหรับเล็งจุดเส้นแบ่งเขตแดนบนชายฝั่ง (หลักเขตเลขที่ 73)


มีข้อความช่วงท้ายว่า บริเวณ 'ดงเร็ก' ซึ่งเป็นที่ตั้งของเขาพระวิหาร นั้น ให้แบ่งเขตแดนตามสันปันน้ำ (watershed)

รูป 2 ในแผนที่ที่ผู้เชี่ยวชาญฝรั่งเศสจัดทำ ซึ่งแบ่งออกเป็น 11 ระวาง และส่งให้ไทย นั้น สำหรับระวาง 'ดงเร็ก' ปรากฏว่าเส้นแบ่งเขต (เส้นประ ตามที่มีเส้นสีน้ำเงินชี้) ไม่ตามแนวสันปันน้ำ


รูป 3-4 จุดสีแดงคือตำแหน่งของตัวปราสาทบนชะง่อนเขาพระวิหาร ในรูป 4 ตัวปราสาทตั้งอยู่บนชะง่อนเขาซึ่งด้านลาดต่ำอยู่ในเขตไทย และลาดสูงขึ้นไปโดยตัวปราสาทตัังอยู่จุดสูงสุด


ดังนั้น โดยสภาพภูมิประเทศ แนวสันปันน้ำจึงเป็นเส้นสีแดงอันเป็นแนวที่แหลมสูงสุดของชะง่อนเขา ซึ่งตามหลักการที่ตกลงกันในสนธิสัญญา ตัวปราสาทจึงย่อมอยู่ในเขตไทย

ในรูปนี้ จึงเป็นที่ชัดเจนว่า เส้นแบ่งเขตที่ฝรั่งเศสจัดทำ (เส้นประที่ผมเติมสีน้ำเงิน) อยู่เหนือแนวสันปันน้ำ จึงไม่ถูกต้องตามสนธิสัญญา


รูป 5 นอกจากนี้ สนธิสัญญายังระบุด้วยว่า "รัฐบาลฝรั่งเศสจะมีประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงเส้นพรมแดนที่ได้ตกลงยินยอมกันไว้นี้แล้ว การที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงกันนี้ ถึงโดยว่าจะเกิดมีเหตุการณ์อย่างใดๆ ก็ดี จะต้องทำให้ไม่เป็นที่ล่วงล้ำเสียประโยชน์ของรัฐบาลสยามด้วย"


ดังนั้น การที่ผู้เชี่ยวชาญฝรั่งเศสจัดทำแผนที่กำหนดเส้นพรมแดนที่ไม่ใช่สันปันน้ำ จึงไม่เป็นไปตามสนธิสัญญา และไทยมีสิทธิไม่ยอมรับ

อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2505 ศาลโลกตัดสิน 2 เงื่อนไข

เงื่อนไขที่หนึ่ง ให้ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา

เงื่อนไขที่สอง ไทยมีพันธะต้องถอนทหารหรือตำรวจหรือผู้ดูแลอื่นใดออกจากปราสาทหรือในบริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา

ถามว่า ในเมื่อเส้นพรมแดนในแผนที่ไม่ใช่สันปันน้ำ อันไม่เป็นไปตามสนธิสัญญา เหตุใดศาลโลกจึงตัดสินให้ไทยแพ้?


รูป 6 ศาลโลกใช้หลักกฏหมายสากล ที่เรียกว่าการยอมรับโดยปริยาย

รูป 7 กล่าวคือ ไทยมีโอกาสหลายครั้งที่จะโต้แย้งปฏิเสธแผนที่ระวาง 'ดงเร็ก' แต่ไม่ได้ทำ ศาลถือว่าการนิ่งเฉย เป็นการยอมรับ ทำให้ศาลไม่จำเป็นต้องพิจารณาว่าเส้นแบ่งเขตแดนในแผนที่เป็นสันปันน้ำจริงหรือไม่

แต่ศาลไม่ได้ระบุว่า อาณาบริเวณมากน้อยเพียงไรที่จะเป็นของกัมพูชา


สรุปแล้ว เสียดินแดนครั้งที่หนึ่งเพราะไทยไม่เคยใช้สิทธิประท้วง

***การเสียดินแดนครั้งที่สอง

เอกสารวิจัยในสถาบันพระปกเกล้าของ จุฬาพร เอื้อรักสกุล ระบุว่า

“ในส่วนการกำหนดเขตบริเวณปราสาทพระวิหาร คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 ให้กำหนดเป็นรูปพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้ารอบปราสาทซึ่งเป็นเนื้อที่บริเวณปราสาท ¼ ตารางกิโลเมตร กับให้ทำป้ายไม้แสดงเขตไทย-กัมพูชาและทำรั้วลวดหนามในวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2505”

ต่อมา กัมพูชายื่นขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ปรากฏว่ารัฐบาลไทยขณะนั้นไม่สามารถเจรจาให้เป็นสองรัฐบาลร่วมกัน แต่ได้ยินยอมให้กัมพูชายื่นขอฝ่ายเดียว

ในการยื่นขอมรดกโลกดังกล่าว กัมพูชาได้ยื่นแผนที่จัดการพื้นที่ในละแวกใกล้เคียง สำหรับกรณีนี้รัฐบาลไทยได้ประท้วงถูกต้อง แต่ภายหลังชาวกัมพูชารุกคืบในพื้นที่ทำให้เกิดการปะทะกันด้วยอาวุธ

ในปี 2554 กัมพูชาจึงได้ยื่นขอให้ศาลโลกวินิจฉัยว่า ตามคำพิพากษาเดิมปี 2505 นั้น กำหนดให้พื้นที่รอบปราสาทของกัมพูชาเป็นส่วนใด

ถึงแม้ไทยมีสิทธิ์ที่จะไม่รับคำตัดสินของศาลโลก แต่ไทยจะลาออกจากศาลโลกได้ก็ต่อเมื่อลาออกจากสมาชิกสหประชาชาติเท่านั้น และกัมพูชามีสิทธิ์ฝ่ายเดียวที่จะยื่นเรื่องต่อศาลโลกอยู่แล้ว ดังนั้น ไทยจึงไม่มีทางเลือก ต้องเข้าไปชี้แจงต่อสู้คดี

ในการต่อสู้คดี ไทยขอให้ศาลจำหน่ายคดีที่กัมพูชายื่นให้พิจารณาออกจากสารบบความของศาล แต่ศาลยกคำขอ

ศาลวินิจฉัยตีความพื้นที่บริเวณปราสาทโดยอ้างสภาพภูมิประเทศ สรุปไว้ในpubilclaw.net ว่า

“98. จากการให้เหตุผลในคำพิพากษา ค.ศ. 1962 ซึ่งเห็นได้ในการพิจารณาในการให้การในกระบวนพิจารณาเดิม เห็นได้ชัดว่า

ขอบเขตของชะง่อนผาพระวิหารทางทิศใต้ของเส้นของแผนที่ภาคผนวก 1 ประกอบด้วยลักษณะทางธรรมชาติ

ทางทิศตะวันออก ใต้ และตะวันตกเฉียงใต้ ชะง่อนผาลดต่ำลงเป็นหน้าผาที่ลาดชันไปยังที่ราบของกัมพูชา คู่กรณีได้เห็นพ้องกันใน ค.ศ.1962 ว่าหน้าผานี้และพื้นดินที่ตีนของหน้าผาอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชาในทุกกรณี

ทางทิศตะวันตก และตะวันตกเฉียงเหนือ พื้นดินลดต่ำลงเป็นที่ลาดเอียงซึ่งลาดชันน้อยกว่าหน้าผา ไปยังหุบเขาซึ่งแยกพระวิหารออกจากภูมะเขือ (the hill of Phnom Trap) ที่อยู่ใกล้เคียง แต่อย่างไรก็ตามก็เป็นหุบเขาซึ่งตัวมันเองลดต่ำลงไปในทิศใต้สู่พื้นที่ราบของกัมพูชา (ดูวรรค 89 ข้างบน) สำหรับเหตุผลที่ได้ให้ไว้แล้ว (ดูวรรค 92-97 ข้างบน)

ศาลเห็นว่าภูมะเขืออยู่นอกพื้นที่พิพาท และคำพิพากษา ค.ศ. 1962 ไม่ได้หยิบยกคำถามว่ามันอยู่ในอาณาเขตของไทยหรือกัมพูชา ดังนั้นศาลเห็นว่าชะง่อนผาพระวิหารสิ้นสุดลงที่ตีนภูมะเขือ ซึ่งพูดได้ว่า ที่ซึ่งพื้นดินเริ่มสูงขึ้นจากหุบเขา

ในทิศเหนือ ขอบเขตของชะง่อนผาเป็นตามเส้นของแผนที่ภาคผนวก 1 จากจุดทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของปราสาทที่ซึ่งเส้นนั้นจดหน้าผา ไปยังจุดในทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่ซึ่งพื้นดินเริ่มสูงขึ้นจากหุบเขาที่ตีนภูมะเขือ

ศาลเห็นว่าวรรคที่สองของบทปฏิบัติการของคำพิพากษา ค.ศ. 1962 กำหนดให้ประเทศไทยถอนจากอาณาเขตทั้งหมดของชะง่อนผาพระวิหารดังที่ได้กำหนดไปยังอาณาเขตของไทย บรรดาเจ้าหน้าที่ของไทยซึ่งได้ประจำอยู่ที่ชะง่อนผานั้น”

และคำวินิจฉัยของศาลส่วนหนึ่งระบุว่า

"สำหรับวรรคที่สองของบทปฏิบัติการกำหนดให้ไทยต้องถอนกำลังเจ้าหน้าที่ซึ่งได้ส่งไปประจำอยู่ที่ปราสาทพระวิหารหรือบริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา

ดังนั้นศาลเห็นว่าต้องเริ่มโดยการตรวจสอบหลักฐานต่อศาลในปี 2505 เกี่ยวกับตำแหน่งที่ซึ่งเจ้าหน้าที่ไทยประจำการอยู่

จากหลักฐานที่ให้โดยแอคเคอร์แมนน์ (Ackermann) ผู้เชี่ยวชาญและพยานของไทยซึ่งเคยไปยังปราสาทพระวิหารเป็นเวลาหลายวันในเดือนกรกฎาคม 2504

เขาได้ให้การว่า ระหว่างการไปที่นั้น ที่ชะง่อนผาพระวิหารเขาได้เห็นตำรวจตระเวนชายแดนและผู้เฝ้าปราสาทหนึ่งคน โดยตำรวจตระเวนชายแดนประจำการอยู่ที่ค่ายพักซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของปราสาท ในขณะที่ผู้เฝ้าปราสาทอาศัยอยู่ในบ้านแยกกันในระยะทางสั้นๆ ไปทางตะวันตกของค่ายพักตำรวจตระเวนชายแดน

ทนายของไทยได้ยืนยันต่อมาว่าค่ายพักตำรวจอยู่ทางทิศใต้ของเส้นของแผนที่ภาคผนวก 1 แต่อยู่เหนือเส้นซึ่งกัมพูชากล่าวว่าเป็นเส้นสันปันน้ำในกระบวนการพิจารณาคดีปี 2505

ดังนั้น จึงปรากฏชัดเจนว่าตำรวจไทยได้ไปประจำการที่ตำแหน่งเหนือเส้นที่ต่อมาได้ถูกกำหนดโดยมติ ครม.ไทยเมื่อปี 2505 ซึ่งอยู่นอกเขตที่ไทยเห็นว่าเป็นบริเวณใกล้เคียงปราสาทบนอาณาเขตของกัมพูชา

*ดังนั้น บริเวณใกล้เคียงปราสาทบนอาณาเขตของกัมพูชาต้องถึงตีความออกไปอย่างน้อยไปยังพื้นที่ที่ตำรวจไทยได้ประจำการอยู่ในเวลานั้น*" รูป 8


ผมอธิบายแบบชาวบ้านว่า ในการปฎิบัติตามเงื่อนไขที่สองนั้น ถึงแม้มติ ครม. เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 กำหนดขอบเขตพื้นที่แค่เพียงตัวอาคารปราสาท

แต่สำหรับทิศเหนือ รัฐบาลไทยขณะนั้นไม่ได้ขยับเขยื้อนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำเข้าไปอยู่ประชิดปราสาท กลับตั้งมั่นอยู่ในตำแหน่งที่ไกลเกินกว่าขอบเขตที่ ครม. กำหนด

ดังนั้น ผมเห็นว่า ข้อเท็จจริงนี้จึงน่าจะเป็นสาเหตุที่ศาลตีความให้พื้นที่บริเวณของปราสาทกว้างออกไปจนถึงจุดตำแหน่ง ที่ตั้งของตำรวจไทยประจำการอยู่ในเวลานั้น

สรุปแล้ว ปัจจัยส่วนหนึ่งที่เสียดินแดนครั้งที่สอง น่าจะเพราะไทยไม่ได้เตรียมการเผื่อไว้ว่า ในอนาคตอันไกลอาจจะมีการฟ้องกันในเรื่องพื้นที่บริเวณใกล้เคียงของปราสาทเป็นครั้งที่สอง

ผมจึงเห็นว่า ถ้ารัฐบาลของท่านนายกเศรษฐาไม่ประท้วงเรื่องสันเขื่อน (ใกล้หลักเขตที่ 73 อ.คลองใหญ่ จ.ตราด) ในอนาคตก็จะเข้าหลัก “นิ่งเฉยเป็นการยอมรับ”

และกรณีถ้าหากในอนาคตมีการวาดเส้นแบ่งครึ่งระหว่างสองประเทศตามกติกาสหประชาชาติปี 1982 กัมพูชาก็อาจจะได้ดินแดนในทะเลเพิ่มเนื่องจากสันเขื่อนดังกล่าว

รัฐบาลปัจจุบันต้องเตรียมรับมือทุกประเด็น เสมือนหนึ่งในอนาคตจะเกิดการฟ้องร้องกันอย่างแน่นอน

คนไทยต้องช่วยกันเตือนรัฐบาลให้ระแวดระวัง ไม่ให้ประเทศต้องเสี่ยงจะเสียดินแดนอีกในรัชสมัยล้นเกล้ารัชกาลปัจจุบัน

ต่อมาวันที่ 7 เม.ย. นายธีระชัยได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กเพิ่มเติมในหัวข้อ พื้นที่ทับซ้อน-ทำให้ไม่ซับซ้อน (3) ระบุว่า คนไทยต้องช่วยกันเตือน ให้รัฐบาลระวังไม่ให้ประเทศต้องเสี่ยงจะเสียดินแดนในทะเล

ถามว่า การมี MOU 2544 จะทำให้ประเทศไทยเสี่ยงจะเสียดินแดนในทะเลอย่างไร?


รูป 1 ไทยประกาศเส้นแบ่งเขตทางทะเลตามกติกาสหประชาชาติปี 1958 เป็นเส้นสีน้ำเงิน

กัมพูชาประกาศเส้นสีแดง ซึ่งพาดผ่านเกาะกูด โดยอ้างหลักฐานทางประวัติศาสตร์คือเอกสารแนบสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสปี 1907 ซึ่งกติกาสหประชาชาติยอมให้อ้างได้

แต่เมื่ออ่านเนื้อความในเอกสารแนบสนธิสัญญาแล้ว จะเห็นได้ชัดเจนว่า ข้อความที่ให้ใช้จุดสูงสุดบนเกาะกูดในการเล็งนั้น เป็นเพื่อกำหนดจุดเส้นแบ่งเขตแดนที่ชายฝั่ง ไม่ใช่เส้นแบ่งเขตในทะเล

ดังนั้น จึงเป็นที่ชัดเจนว่า เส้นสีแดงของกัมพูชาไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในเอกสารประวัติศาสตร์ที่กัมพูชาอ้างถึง จึงไม่เป็นไปตามกติกาสหประชาชาติ และไทยไม่สามารถยอมรับเส้นสีแดงได้

กรณีสมมติ ถ้าหากกัมพูชาเกิดจะลากเส้นใหม่แทนเส้นสีแดง ถามว่า มีแนวเส้นที่เป็นไปได้อย่างไร?

การประกาศเส้นสีแดงของกัมพูชามีประวัติที่น่าสนใจ กล่าวคือรัฐบาลกัมพูชาได้ว่าจ้างคณะผู้เชี่ยวชาญตะวันตกเสนอแนวเขต

ในรูป 1 ผู้เชี่ยวชาญได้เสนอ 2 แนว คือ เส้นสีส้ม (มี 2 เส้นใกล้เคียงกัน) และเส้นสีเขียว โดยเอกสารระบุว่าทั้งสองเส้นไม่ได้อ้างประวัติศาสตร์

เส้นสีน้ำเงินที่ไทยประกาศนั้น เป็นเส้นแบ่งครึ่งระหว่างเกาะกูดกับเกาะกง ซึ่งเป็นไปตามกติกาสหประชาชาติปี 1958 กรณีที่ผู้เชี่ยวชาญเสนอเส้นสีส้มและเส้นสีเขียวต่อรัฐบาลกัมพูชา ไม่ปรากฏเหตุผลว่าอ้างอิงกติกาเดียวกันหรือไม่

ถ้าหากอ้างอิงกติกาเดียวกัน ก็ต้องตรวจสอบว่า การที่เส้นสีส้มและเส้นสีเขียวแตกต่างจากเส้นสีน้ำเงิน นั้น เกิดจากกัมพูชาถือระยะทางจากโขดหินเกาะแก่งบางจุดที่ไทยไม่ได้คำนึงหรือไม่


รูป 2 น่าสนใจว่า พลเรือเอก พัลลภ ตมิศานนท์ อภิปรายในสภากรณีสมมติถ้ากัมพูชาจะยกเลิกเส้น ก ที่ผ่านเกาะกูด แล้วลากเส้นใหม่ตามกติกาล่าสุด ก็อาจจะมีพื้นที่ทับซ้อนที่จะคิดแบ่งผลประโยชน์จากการพัฒนาปิโตรเลียมร่วมกันได้ ดังเช่นในโมเดลพัฒนาปิโตรเลียมร่วมกันระหว่างไทยกับมาเลเซีย JDA


รูป 3 พลเรือเอก พัลลภ ยกตัวอย่างเส้น ข และเส้น ค ซึ่งอยู่ในแนวใกล้เคียงกับเส้นสีส้มและเส้นสีเขียว โดยตั้งเป็นตุ๊กตาว่า กรณีที่กัมพูชาลากเส้นใหม่ พื้นที่ทับซ้อนน่าจะลดลงเหลือเพียงประมาณ 6 พัน ตร.กม. เทียบกับ 2.6 หมื่น ตร.กม. ที่กัมพูชาอ้างตามเส้นสีแดง


รูป 4 อย่างไรก็ดี ในชั้นนี้ อุปสรรคใหญ่สุดในการแบ่งเขตทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา คือMOU 2544 ซึ่งท่านระบุว่ามีค่าพิกัดกำหนดมุมไว้ตายตัว และเนื่องจากเป็นผลที่เกิดขึ้นจากเส้นสีแดง จึงควรเจรจายกเลิก MOU 2544 หรือรัฐบาลไทยประกาศยกเลิกแต่ฝ่ายเดียว

ผมตั้งข้อสังเกตว่า

1 รัฐบาลควรเจรจาว่า ถ้ากัมพูชากำหนดเส้นเขตแดนทางทะเลใหม่ให้สอดคล้องกับกฎหมายสากล คือ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.1982 ซึ่งเชื่อว่าจะมีพื้นที่ทับซ้อนกันอยู่ระหว่างสองประเทศน้อยลงมาก ก็จะใช้พื้นที่ทับซ้อน Overlapping Claim Area (OCA) นี้เป็น 'แนวเส้นแบ่งผลประโยชน์' ที่ไม่ใช้เส้นเขตแดน ที่จะใช้เจรจากันเพื่อเป็น ‘พื้นที่พัฒนาร่วม Joint Development Area (JDA) ได้ โดย 'แนวเส้นแบ่งผลประโยชน์' ที่ไม่ใช้เส้นเขตแดนนี้อาจจะคำนึงถึงเกาะแก่งตามกติกาสหประชาชาติก็ได้ แต่ต้องไม่พาดพิงถึงเกาะกูด ส่วนไทยจำเป็นต้องยึดเส้นแบ่งเขตแดนเดิมที่ประกาศเอาไว้

2 ถ้าตกลงกับกัมพูชาได้เช่นนี้รัฐบาลไทยจะต้องประกาศยกเลิกสัมปทานทั้งหมดที่เคยให้ไปแก่บริษัทตะวันตกเมื่อปี 2514-2516 เสียก่อน เนื่องจากพัฒนาการด้านวิศวกรรม เทคโนโลยี และเศรษฐศาสตร์ปิโตรเลียมเปลี่ยนแปลงไปมาก และจากเดิมที่มีข้อขัดแย้งเรื่องพื้นที่ทับซ้อน บัดนี้เปลี่ยนเป็นรัฐบาลไทยต้องการใช้อธิปไตยในน่านน้ำไทยตามปกติ ประกอบกับไทยได้มีการแก้ไขกฎหมายปิโตรเลียมให้มีระบบแบ่งปันผลผลิตซึ่งจะสร้างความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนคนไทยมากกว่า จึงจำเป็นต้องยกเลิกสัมปทานก่อนเข้าเจรจาพัฒนาร่วมระหว่างสองประเทศเพื่อเปลี่ยนไปใช้ระบบแบ่งปันผลผลิต

3 รัฐบาลไทยควรจัดตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติ เพื่อเป็นตัวแทนให้ปวงชนชาวไทยเข้าไปบริหารจัดการทรัพยากรปิโตรเลียมแทนกระทรวงพลังงาน ซึ่งจะดำเนินการเชิงธุรกิจได้คล่องตัวกว่าส่วนราชการ โดยให้บรรษัทฯ เป็นผู้จัดการประมูล และเป็นผู้ใช้สิทธิซื้อน้ำมันดิบและก๊าซ ณ ปากหลุม เนื่องจากสิทธิการซื้อก๊าซเป็นเอกสิทธิ์ของประชาชนคนไทยทั้งมวล รวมทั้งให้บรรษัทฯ เป็นผู้กระตุ้นให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี จัดให้มีระบบวัดปริมาณการผลิตปิโตรเลียมที่ทันสมัยและแม่นยำ และจัดให้มีการหักรายได้ส่วนหนึ่งทุกปีตั้งเป็นกองทุน sinking fund ไว้ล่วงหน้าเพื่อดูแลการรื้อแท่นปิโตรเลียมกลางทะเลที่เลิกใช้งานอย่างถูกสุขลักษณะไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

4 ถึงแม้การนำปิโตรเลียมขึ้นมาใช้ประโยชน์จะช่วยทำให้ฐานะความเป็นอยู่ของคนไทยดีขึ้นก็ตาม แต่ขบวนการเจรจาต้องรอบคอบถูกต้อง ต้องมีความโปร่งใส ต้องไม่ดำเนินการโดยกลุ่มบุคคลซึ่งประชาชนมีข้อเคลือบแคลงอาจมีผลประโยชน์ส่วนตน และต้องรักษาอธิปไตยเขตแดนของไทยอย่างเคร่งครัด

วันที่ 7 เมษายน 2567
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ


กำลังโหลดความคิดเห็น