เริ่มแล้ว สภาเปิดอภิปรายซักฟอกทั่วไปรัฐบาล “ผู้นำฝ่ายค้าน” ซัดนายกรัฐมนตรี ไร้ภาวะผู้นำ ทำนโยบายแบบสับสน-น่าละอาย เปิดทางให้ฉ้อฉลพรึ่บ ยก “วิกฤตตำรวจ” ทำประชาชนไร้ศรัทธา นำพาประชาธิปไตย “ไหลย้อนกลับ” ผู้มีอิทธิพลลุอำนาจ ได้คืบจะเอาศอก ย่ำยีนิติธรรมไม่ต่างจาก “รัฐประหาร”
วันที่ 3 เม.ย. 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานใรที่ประชุม วาระการประชุมอภิปรายทั่วไปรัฐบาลแบบไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญ โดยมีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีเข้าร่วมชี้แจงอย่างพร้อมเพรียง
เวลา 09.30 น. นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ยื่นญัตติขอเปิดการอภิปราย ได้อ่านแถลงเปิดการอภิปรายว่า คณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของนายเศรษฐา ได้บริหารราชการแผ่นดินมาเป็นเวลากว่า 6 เดือนแล้ว แต่มิได้มีการปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้กับประชาชน ไม่จริงใจ ไม่ตั้งใจ เพิกเฉยต่อคำแถลงนโยบายไว้ต่อรัฐสภา หาผลงานไม่ได้ หลักนิติธรรมถูกทำลาย ด้วยการเลือกปฏิบัติในกระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน บริหารราชการอย่างไร้จริยธรรม นโยบายเร่งด่วนสวนทางกับความจริง ตัวอย่างรูปธรรม เช่น แถลงนโยบายจะกระตุ้นเศรษฐกิจไร้ประสิทธิภาพ ไร้ความสามารถด้วยนโยบายการเติมเงิน 1 หมื่นบาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ที่รัฐบาลอวดอ้างว่าจะเป็นตัวจุดชนวนกระตุ้นเศรษฐกิจให้แพร่หลาย เป็นความผิดพลาดที่ไม่สามารถดำเนินการได้ และหากจะดำเนินการต่อก็จะสร้างหนี้สินของประเทศมากขึ้น แถลงนโยบายลดรายจ่ายแต่สุดท้ายค่าครองชีพกลับเพิ่มขึ้น อวดอ้างสร้างโอกาสให้ประชาชนแต่กลับมีนโยบายที่สร้างโอกาสให้กับกลุ่มทุน วาทกรรมชูลดความเหลื่อมล้ำ แต่กลับบริหารราชการแผ่นดินที่สร้างความเหลื่อมล้ำให้กับประชาชนมากขึ้น ขายฝันสร้างคุณภาพชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น แต่รัฐบาลยังไม่มีปัญญาทำได้แต่อย่างใด
รัฐบาลแถลงนโยบายยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน แต่ความเป็นจริงกลับไม่นำพาต่อประโยชน์ของประชาชน มิหนำซ้ำยังปิดกั้นโอกาสของประชาชน ปัญหาหนี้สิน ยังไม่ได้มีการขับเคลื่อนนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะพี่น้องเกษตรกรที่ยังต้องทนทุกข์กับหนี้สินที่เกิดขึ้น
นายชัยธวัช ยังกล่าวว่า ความเป็นจริงกลับเหยียบย่ำหลักการของบ้านเมือง การเลือกปฏิบัติต่อบุคคลที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมอย่างไร้มาตรฐาน นายกรัฐมนตรี บรรดารัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องซึ่งมีหน้าที่โดยตรง ในการบังคับใช้กฎหมายต่อประชาชนอย่างเท่าเทียม กลับดำเนินการไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลที่ดี
จากข้อเท็จจริงดังที่ได้กราบเรียนมาแล้วข้างต้น รับฟังได้เป็นข้อยุติแล้วว่า รัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ ไร้ซึ่งหลักนิติธรรม ไม่มีคุณธรรมจริยธรรม ทำให้สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ สภาวะสังคมล้มเหลว เลือกปฏิบัติ ไร้มาตรฐาน สร้างความเหลื่อมล้ำ เหยียบย่ำประชาชน เศรษฐกิจย่ำแย่ สังคมเสื่อมถอย ประชาชนยากไร้ รับใช้พวกพ้อง สนองกลุ่มทุน
หลังจากอ่านแถลงญัตติ นายชัยธวัช กล่าวเพิ่มเติมว่า เราคาดหวังว่าจะได้ผู้นำประเทศคนใหม่ที่ต่างจากผู้นำรัฐประหาร แต่ปรากฏว่าเรากลับได้นายกรัฐมนตรีที่ไร้ภาวะผู้นำ หลายคนสับสนว่าเป็นใครมีอำนาจทำอะไรได้บ้าง แต่นายกรัฐมนตรีขาดความเป็นผู้นำ ที่จะสร้างความเชื่อมั่นและความชัดเจนของทิศทางรัฐบาล ซ้ำร้ายยังมีวิธีคิดในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีแบบเดิมๆ ที่จัดสรรตามโควตาสมบัติผลัดกันชม แทนที่จะสรรหาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถที่เหมาะสม ในการเข้ามาบริหารกระทรวงต่างๆ
“เห็นท่านรัฐมนตรีหลายท่าน หลังจากจัดตั้ง ครม. หลายคนสิ้นหวัง แล้วพอรัฐบาลชุดนี้ได้บริหารประเทศมากกว่าครึ่งปีแล้ว ประชาชนก็คาดหวังที่จะให้ตาเห็นนโยบายในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ ปากท้องดีขึ้น แต่สิ่งที่พี่น้องประชาชนกลับพบคือการดำเนินนโยบายที่สับสน คิดไปทำไป นโยบายเรือธงของรัฐบาล ขาดยุทธศาสตร์และแนวทางที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมตรงเป้าหมาย แทนที่ประชาชนจะได้เห็นการบริหารราชการแผ่นดินที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ลืมตาอ้าปาก อย่างเสมอภาค เท่าเทียม เป็นธรรม กลับเห็นการส่งเสริมระบบเศรษฐกิจที่ผูกขาด หรือเอื้อประโยชน์ต่อทุนใหญ่เต็มไปหมด หลายนโยบายแอบอ้างประชาชนบางหน้า แต่เบื้องหลังเนื้อนายกลับเต็มไปด้วยความฉ้อฉลเชิงนโยบาย เปิดทางให้รัฐมนตรีและพวกพ้อง แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบอย่างน่าละอาย” นายชัยธวัช กล่าว
นายัชยธวัช กล่าวอีกว่า ประชาชนคาดหวังจะเห็นการปฏิรูปการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย รัฐบาลชุดใหม่ตอนเริ่มจัดตั้งรัฐบาล ประชาชนก็อยากเห็นการจัดทำประชามติโดยเร็ว แต่ก็ยังวกไปวนมา พี่น้องประชาชนไม่แน่ใจว่าตกลงรัฐบาลจะเอาอย่างไรต่อการปฏิรูปการเมือง มิหนำซ้ำเมื่อวิเคราะห์อย่างละเอียดแล้วกลับพบว่าหากมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ทัน เราก็อาจจะได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่แม้จะใหม่ แต่ไม่ไว้วางใจประชาชนเหมือนเดิม เมื่อเวลาผ่านไปกับพบว่ากระบวนการยุติสงครามยังดำเนินการต่อไป ไม่ต่างจากหลังรัฐประหาร สถานการณ์ปราบปรามประชาชนที่มีความเห็นต่างในนามกฎหมาย สิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนเริ่มเห็นสัญญาณว่าถูกคุกคามแทรกแซง พี่น้องประชาชนคาดหวังจะเห็นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เห็นการฟื้นฟูนิติธรรมนิติรัฐที่รัฐบาลแถลง
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง กลับเกิดวิกฤติศรัทธาอย่างที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่เคยเป็นมาก่อนในตำรวจ รวมถึงระบบราชการยังเป็นเต็มไปด้วยระบบตั๋วระบบส่วย จนพี่น้องประชาชนไม่สามารถไว้วางใจกลไกการบริหารราชการแผ่นดิน ...กระบวนการยุติธรรมถูกเซาะกร่อนบ่อนทำลาย ซ้ำเติมวิกฤติศรัทธาในกระบวนการยุติธรรมที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง หลังการรัฐประหาร” นายชัยธวัช กล่าว
"ประชาชนคาดหวังระบบการเมืองที่้ดินไปข้างหน้า แต่สิ่งที่เราเจอกับเป็นประชาธิปไตยแบบไหลย้อนกลับ ที่ผู้นำทางการเมืองผู้มีอิทธิพลทางการเมืองลุแก่อำนาจ ได้คืบเอาศอก พยายามผูกขาดอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจให้อยู่ในมือของชนชั้นนำไม่กี่คน แทนที่เราจะเห็นการยกระดับทางการเมืองเดินไปข้างหน้าแทนที่จะ Disrupt การเมืองแบบเก่าเพื่อสร้างการเมืองแบบใหม่เรากลับเจอกับการเมืองที่พยายามทำลายสิ่งใหม่เพื่อรักษาสิ่งเก่า" นายชัยธวัช กล่าว
นายชัยธวัช ทิ้งท้ายว่า สภาวะทั้งหมดที่ผ่านมา ทำให้เราตกอยู่ในสภาพการเมืองที่ไม่สามารถตอบสนองความคิดใหม่ๆของประชาชน ไม่สามารถตอบสนองความต้องการแบบใหม่ นี่คือสถานการณ์ที่พวกมในสภาผู้แทนราษฎรจำเป็นที่จะต้อง วิเคราะห์วิจารณ์ตั้งคำถามเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี
ทั้งนี้ หลังจากนายชัยธวัช เปิดอภิปรายเสร็จ นายกรัฐมนตรี ได้ขอลุกขึ้นตอบทันที