เมืองไทย 360 องศา
การเดินสายออกงานสังคมแบบรัวๆ ของนายทักษิณ ชินวัตร ที่เวลานี้ยังมีสถานะเป็น “นักโทษ” แม้ว่าจะได้รับการพักโทษก็ตาม เพราะในสถานะดังกล่าวต้องมีเงื่อนไข และสามารถเคลื่อนไหวอยู่ในวงจำกัด แต่สำหรับเขาแล้วทุกอย่างอยู่ “เหนือ” ขอบเขต
ขณะเดียวกันการเคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าวก็เริ่มส่งผลให้กับทั้งตัวเขาเอง และกับสังคมขึ้นมาอีกครั้ง จนกลายเป็นว่า “สร้างปัญหา” ขึ้นมาอีกครั้งหรือเปล่า
ที่มาผ่านมา การกลับมารับโทษของ นายทักษิณ ชินวัตร มีความเข้าใจกันว่า “อยู่ภายใต้เงื่อนไข” บางอย่าง ซึ่งเขาก็เคยประกาศเองว่า ต้องการมา“เลี้ยงหลาน” เท่านั้น รู้ว่าตัวเองแก่แล้ว และไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง แต่พฤติกรรมที่เห็นในเวลานี้ทุกอย่างกลับกลายเป็นตรงกันข้าม เป็นความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเร็วก่อนกำหนด เป็นการเปิดหน้าแบบไม่แคร์ใครทั้งสิ้น
อย่างไรก็ดี อีกด้านหนึ่งมันก็เกิดความเสี่ยงเกิดขึ้นทั้งกับตัวเขาเอง และสังคมอีกส่วนหนึ่ง เพราะการเข้ามารับโทษของ นายทักษิณ แต่ไม่ยอมติดคุกแม้สักวันเดียว ทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย กฎระเบียบทุกอย่าง ซึ่งทุกคนในสังคมรู้กันดี เพราะนี่คือการย่ำยีกระบวนการยุติธรรมอย่างป่นปี้
การเดินสายอย่างถี่ยิบในช่วงเดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่ขึ้นเหนือกลับบ้านเกิดที่จังหวัดเชียงใหม่ อ้างว่าไปไหว้บรรพบุรุษ แต่กำหนดการที่ยาวเหยียด ไม่ต่างจากการไปตรวจงาน การรับฟังรายงาน มีระดับนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ข้าราชการระดับสูงรายงานตัวกันพรึบ จากนั้นก็ออกงานสังคม ล่าสุด หมาดๆก็ไปเป็นประธานในพิธีพระราชทานเพลิง นายอนันต์ ฉายแสง ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อวันก่อน
และจากการเปิดเผยล่าสุด น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ลูกสาวของเขา ยืนยัน ถึงกำหนดการเดินทางไป จ.เชียงใหม่ ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ว่า คอนเฟิร์มว่านายทักษิณจะไปแน่นอน แต่ยังไม่กำหนดวันที่ชัดเจน และการไปครั้งนี้ตนไม่ได้เดินทางไปด้วย เหมือนครั้งที่ผ่านมา
แน่นอนว่า การเดินสายของ นายทักษิณ ชินวัตร สำหรับบรรดาคอการเมืองทั้งหลายต้องสรุปตรงกันอยู่แล้วว่า นี่มันงาน“การเมือง”ชัดๆ พร้อมทั้งวิเคราะห์ถึงที่มาของการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ สาเหตุสำคัญก็มาจากความพยายามในการ “กอบกู้พรรคเพื่อไทย” และต้องการสร้างบารมีให้ตัวเองให้คงอยู่ต่อไป หลังจากในรอบเกือบยี่สิบปีที่ผ่านมา ทุกอย่างมีความถดถอย จนกระทั่งต้องพ่ายแพ้การเลือกตั้งครั้งล่าสุด โดยพ่ายแพ้ให้กับพรรคก้าวไกลแบบหมดรูป ซึ่งมันสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า บารมีของเขานั้นช่วยอะไรไม่ได้มากนัก
ดังนั้นการกลับมาคราวนี้ เหมือนกับมีเจตนาทวงคืนให้ทุกอย่างกลับมาในสภาพเดิมให้เร็วที่สุด หรืออย่างน้อยก็เพื่อให้พร้อมรับมือกับเหตุการณ์ข้างหน้า
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นมันก็ย่อมสร้างความเสี่ยงเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะกับตัวของนายทักษิณ เพราะหลายคนเข้าใจว่า การกลับมาของเขาคราวนี้เป็นเพราะ“ดีลลับ” บางอย่าง และภายใต้ “เงื่อนไข” บางอย่าง โดยเฉพาะกับคำว่า “กลับมาเลี้ยงหลาน” และไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง และเมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวดังกล่าว ก็มองเห็นได้เหมือนกันว่าเขากำลังทำ “ผิดเงื่อนไข” หรือข้อตกลงบางอย่างหรือไม่ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นตามมาหลังจากนี้
โดยเฉพาะความเห็นจาก นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ซึ่งเคยอยู่ในวงในพรรคเพื่อไทย และรู้จักดีกับ นายทักษิณ ชินวัตร ก่อนแยกตัวออกมา ได้ประเมินสถานการณ์ว่า ภายในเดือนเมษายน จะมีเหตุการณ์ทางการเมืองที่ร้อนแรง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการ “ผิดดีล” ของนายทักษิณ นั่นเอง
โดยเขาได้ชี้ให้เห็นถึง“เพจคนสำคัญ”คนหนึ่ง ได้โพสต์ข้อความ “ไม่ได้กลับมาเลี้ยงหลาน แต่กลับมาเลี้ยงหมาในคอก” และใช้คำแรงๆ ว่า “หนักแผ่นดิน” ดังนั้น สะท้อนอารมณ์กดดันอย่างเห็นได้ชัด
“ข้อความที่โพสต์ว่า ไม่ได้กลับมาเลี้ยงหลานนั้น แสดงว่า การเลี้ยงหลานอยู่ในดีลการกลับบ้านของทักษิณ ชินวัตร แต่วันนี้ไม่มีใครพูดถึงการเลี้ยงหลานแล้ว หากตกลงกันว่าจะมาทำพรรคการเมือง หรือจะเดินงานการเมืองต่อ คงไม่มีใครจะกล้าไปดีลด้วย” นายจตุพร ระบุ
นายจตุพร กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองว่า ในวันพุธที่ 3 เมษายน นี้ พรรคฝ่ายค้านจะอภิปรายทั่วไป โดยไม่ลงมติตาม รธน. มาตรา152 และในวันดังกล่าวนั้นอาจคาบเกี่ยวกับศาล รธน.จะพิจารณารับคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กรณียุบพรรคก้าวไกล หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ถ้าศาลรธน.ถ้ารับคำร้อง คงพ่วงคำสั่งให้กรรมการบริหารพรรคหยุดปฏิบัติหน้าที่ด้วย ดังนั้นเมื่อเปิดสภาในวันที่ 3 เมษายน แล้วกรรมการพรรคก้าวไกลควรต้องรีบอภิปรายฯ ก่อน เพราะไม่เช่นนั้นอาจไม่ได้อภิปรายฯเลย
รวมทั้งกล่าวว่า เหตุการณ์ที่พรรคก้าวไกลจะยุบพรรคหรือไม่ คงไม่จำเป็นให้ทักษิณมาช่วย เพราะกลไกอำนาจสามารถจัดการเองกันได้ โดยตัวอย่างพรรคไทยรักไทยในอดีต มีเสียงมากถึง 377 เสียง ยังไม่สามารถต้านทานการยุบพรรคได้ แล้วพรรคก้าวไกล มีแค่ 151 เสียงคงยากจะรับมือไหวเช่นกัน
ส่วน สว.จะหมดวาระ ในวันที่11 พฤษภาคมนี้ นายจตุพร คาดว่า สว.คงมีการยื่นศาล รธน .ตีความบทบาทหน้าที่รักษาการ สว. ระหว่างรอให้ชุดใหม่มาทำหน้าที่ โดยให้ ศาลรธน.วินิจฉัยว่า รักษาการ สว. สามารถโหวตเลือกนายกฯหรือไม่ ซึ่งแสดงถึงการยื้อกดดันสถานการณ์ทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย อีกแบบหนึ่งในอนาคต
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาตามรูปการณ์แล้ว มันก็เริ่มเห็นแนวโน้มที่ทำให้การเมืองเกิดความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะหลายเรื่องกำลังประดังเข้ามา อีกทั้งก็มีการสะสมความไม่พอใจจากสังคมเพิ่มมากขึ้น จากความ “เอาเปรียบ” ทำตัวเป็น อภิสิทธิ์ชน ซึ่งในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ที่เวลานี้บารมีของนายทักษิณ ชินวัตร ถดถอยลงไปมาก ดังนั้นเมื่อมีความพยายามที่จะกลับมาใหม่ มันก็อาจเกิดพลังต่อต้านที่มีกำลังไล่เลี่ยกัน หรืออย่างน้อยอีกฝ่ายชนะไม่ขาด นั่นแหละคือปัญหา กลายเป็นชวนเหตุมาอีกครั้ง ซึ่งก็มาจากตัวเขาเองที่มีปัญหา และสร้างปัญหาขึ้นมาทั้งสิ้น !!