ข่าวปนคน คนปนข่าว
** 2 ส. "สุริยะ-สุรพงษ์" กล้าพอมั้ยลงดาบ "คีรี-BTS" สักที รถไฟฟ้าเก๊กฮวย ห่วยไม่พัก!!
“น้องเก๊กฮวย” หรือ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง สัมปทานชองกลุ่มบีทีเอส เกิดปัญหาเศษโลหะ, ชิ้นส่วนต่างๆ ร่วงหล่นจากรางตลอดทาง เป็นระยะทางนับกิโลเมตร ทำให้รถที่วิ่งอยู่ด้านล่างได้รับความเสียหาย ขณะที่ผู้โดยสารที่ติดอยู่ในขบวนต้องออกจากรถลงเดินบนรางด้านบน ก่อนที่จะประกาศปิดให้บริการในเวลาต่อมา
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ที่เกิดเหตุลักษณะนี้ ก่อนหน้าเมื่อวันที่ 2 ม.ค.ที่ผ่านมา ก็เกิดปัญหาล้อหลุดมาคราหนึ่งแล้ว
เรียกว่า “เก๊กฮวยห่วยไม่พัก”จริงๆ
หากนับกรณีรถไฟฟ้าสายสีชมพู “น้องนมเย็น” ของกลุ่มบีทีเอส ที่เคยทำรางนำกระแสไฟฟ้าหลุดร่วงลงสู่พื้น ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึง คมนาคมและผู้ประกอบการ ไม่ตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
ตอนนั้น “2 ส.ผู้ยิ่งใหญ่” แห่งคมนาคม “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รมว. และ “สุรพงษ์ ปิยะโชติ” รมช. ที่กำกับดูแลระบบรางด้วย ทำเป็นขึงขัง สั่งให้ตรวจสอบ และขู่จะขึ้นแบ็กลิสต์ผู้รับสัมปทาน หากมีเหตุการณ์เหมือนกันเกิดขึ้นซ้ำ
งานนี้ชัดเจนว่า น้องเก๊กฮวยห่วยไม่พักแบบนี้ ก็ต้องถามดังๆ ไปยัง 2 ส. “สุริยะ-สุรพงษ์” จะทำอย่างไร? ยังจำคำพูดตัวเองได้หรือเปล่า !?
โดยเฉพาะ “สุรพงษ์” ที่คนก็รู้โดยทั่วแล้วว่าเป็นเพื่อนกับ “เจ้าสัว” คีรี กาญจนพาสน์ เจ้าของกลุ่มบีทีเอส โดยที่ “คีรี”คอยสนับสนุนดูแลสุรพงษ์มาตั้งแต่ลงสนามเลือกตั้ง จะกล้าดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งตามเงื่อนไขในสัญญาระบุได้หรือยัง ?
คราวที่แล้ว เก็กฮวย "ล้อหลุด" สังคมสงสัยด้วยความสัมพันธ์ส่วนตัวที่แนบแน่นของ รมช.สุรพงษ์ กับคีรี ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตรงกันข้าม ทั้งๆ ที่มีประเด็นความปลอดภัยที่ต้องตรวจสอบจนแน่ใจกลับปล่อยผ่านแถมให้เปิดดำเนินการ รอไม่ได้เพียงเพื่อ “คีรี” จะได้ “เบิกเงิน” อุดหนุนจากรัฐมาหมุนเวียน
ท่ามกลางเสียงทักท้วง ติติง ว่าคมนาคมไม่ควรเร่งรีบให้เปิดบริการ ควรให้หน่วยงานกลางเข้ามาเช็ก หรือตรวจสอบระบบ อุปกรณ์ต่างๆให้มั่นใจเสียก่อน
พอคิดแบบการเมือง จ้องแต่ต่างตอบแทนกัน เรื่องมันก็เลยฟ้องออกมาดังว่า เศษโลหะเอย น๊อตเอย ชิ้นส่วนรางเอย ร่วงลงสู่พื้นถนนอีกครั้ง
ใครผ่านไปผ่านมาใต้ทางวิ่งของรถไฟฟ้าสายสีเหลืองก็ต้องดูแลความปลอดภัยของตัวเอง ท่องพุทโธๆ บนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้แคล้วคลาดปลอดภัย อย่างนั้นหรือ?
“คีรีและสุรพงษ์” พร่ำพูดเสมอว่า แก้ไขปัญหาได้แล้วๆ แต่เหตุมาเกิดขึ้นซ้ำอีก อดไม่ได้ที่จะคิดว่า สองคนนี้ไม่ได้สนใจอะไรนอกจากรายได้ และธุรกิจ ใช่หรือไม่ ?
การประนีประนอมกับเรื่องความปลอดภัย เพื่อตัวเองบรรลุสิ่งที่ต้องการ ให้ประชาชนรับความเสี่ยงไป แบบนี้ก็ได้หรือ? มีหลักประกันอะไรหรือไม่ว่า จะไม่มีเหตุการณ์ทำนองนี่เกิดขึ้นครั้งต่อไป “รมช.สุรพงษ์” ตอบได้มั้ย?
น่าสังเกตว่า เหตุระทึกเก็กฮวยรางหล่น ครั้งนี้ ทั้ง “2 ส.สุริยะ-สุรพงษ์” ไม่เจื้อยแจ้วขึงขังอะไรบ้างเลย เจ็บคอ หรือ อะไรติดคออยู่หรือเปล่า?
2ส.ส่งแค่ตัวแทนลงพื้นที่ตรวจสอบพอเป็นพิธี แล้วก็อวยว่าท่านรัฐมนตรีห่วงใยประชาชน ขู่จะทำนั่นทำนี่ กับผู้รับสัมปทานตามบท
ชาวบ้านเขาเอือมเต็มที รอดูว่า ทั้ง 2ส. จะทำอะไรบ้างหรือไม่นอกจากขู่ จะแบล็กลิสต์ หรือชะลอจ่ายเงินงวดตามสัญญาให้เจ้าสัวสักที...กล้าพอมั้ย !?
**คนไทยไม่ได้กินแกลบ!! “ทักษิณ” ป่วยทิพย์ ไม่สนกระแสสังคม แตะไม่ได้แม้กระทั่งในสภา จน “โรม-วันนอร์” ปะทะเดือด!
ที่“ทักษิณ ชินวัตร” บอกว่าจะกลับมาเลี้ยงหลาน ไม่ยุ่งการเมืองนั้น เชื่อไม่ได้!!
เพราะหลังจากได้รับการพักโทษ ช่วงนี้ก็พยายามออกมาปรากฏตัวต่อสาธารณะอย่างถี่ยิบ เพื่อสร้างกระแส เรียกคะแนนนิยมทางการเมืองให้กับพรรคเพื่อไทย เพราะลำพังแค่ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวผู้รั้งตำแหน่งหัวหน้าพรรค ที่หวังปั้นให้เป็นทายาททางการเมืองนั้น เห็นชัดๆว่า “สู้พลังสีส้ม” ไม่ได้ คนหนุ่มคนสาว คนรุ่นใหม่ ไม่เอาด้วย
เพราะอะไร...เพราะเขารู้ว่าเป็นผู้สืบทอด “ดีเด็นเอ” ทางการเมืองมาจากพ่อ นั่นคือ เล่นการเมืองแบบเศรษฐี พอได้อำนาจมา ก็ใช้อำนาจแบบไม่เห็นหัวประชาชน
ลองย้อนไปดูได้... “ทักษิณ”กลับมาเหยียบประเทศไทยในฐานะนักโทษ เมื่อ 22 สิงหาคม 66 จากวันนั้นถึงวันนี้ “ทักษิณ” ไม่เคยติดคุกแม้แต่วันเดียว โดยไปพักอยู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ 6 เดือนเต็ม เพราะ รมว.ยุติธรรม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ แพทย์โรงพยาบาลตำรวจ ช่วยกันลงความเห็นว่ามีอาการป่วยรุนแรง อาจอันตรายถึงชีวิต ถ้าไม่อยู่ใกล้หมอ
พอได้รับพักโทษ ก็ใส่เฝือกคอ ที่พยุงแขน ออกจากโรงพยาบาล กลับบ้าน“จันทร์ส่องหล้า” แต่หลังจากนั้นไม่ถึงเดือน ก็สลัดปลอกคอ ที่พยุงแขนทิ้ง โดยไม่สนเสียงวิพากวิจารณ์ที่ตามมา
ดังนั้นตลอด 6-7 เดือนที่ผ่านมา จึงเป็นการ “ป่วยทิพย์” หลอกคนไทยชัดๆ โดยมีนักการเมือง ข้าราชการ ร่วมด้วยช่วยเป็นลูกคู่
ไม่เพียงแต่ประชาชนคนในสังคม ที่มองตาปริบๆ เท่านั้น แม้แต่ในสภา ก็แตะ“ทักษิณ” ไม่ได้
อย่างเช่นเมื่อวานนี้ (28 มี.ค.) ในที่ประชุมสภา “รังสิมันต์ โรม” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ตั้งกระทู้ ถามสด
“ทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม เกี่ยวกับการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ ยังไม่ทันได้ถามอะไรเลย แค่เอ่ยชื่อ “ทักษิณ” ก็ถูกส.ส.เพื่อไทยประท้วงแล้ว ใช้ "โทนี่ วู้ดซั่ม" ก็ไม่ได้ จนประธานฯ “วันนอร์” วันมูหะมัดนอร์ มะทา ต้องบอกว่าให้ใช้คำว่า นายกรัฐมนตรีท่านหนึ่งแทน
“รังสิมันต์” กล่าวถึง การที่อดีตนายกฯ มาพักอาศัยอยู่ ที่ รพ.ตำรวจ ชั้น 14 ที่เป็นห้องวีไอพีนั้น ตามกฎกระทรวงข้อที่ 4 ในปี 63 เขียนไว้ว่า ห้ามผู้ต้องขังเข้าอยู่ในห้องพักพิเศษ แยกจากผู้ป่วยทั่วไป เว้นแต่การรักษาตัวในห้องควบคุมพิเศษ
จึงขอตั้งคำถามว่า 1. การที่อดีตนายกฯ พักรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ และไม่พักห้องอื่น ปลอดภัยน้อยกว่าชั้น 14 อย่างไร 2. ท่านสามารถแสดงให้ที่ประชุมแห่งนี้เห็นได้หรือไม่ว่า ห้องพักชั้น 14 ที่อดีตนายกฯ รักษาตัวมีสภาพเป็นเช่นไร 3. ทำไมถึงมีความจำเป็นต้องแยกตัวอดีตนายกฯ ออกจากผู้รักษาตัวคนอื่นๆ เพราะตามกฎกระทรวง ต้องรักษาตัวร่วมกับผู้รักษาตัวท่านอื่น หากจะแยกต้องเป็นการควบคุมพิเศษ และต้องมีเหตุผลรองรับว่า คืออะไร ถ้าจะอ้างเรื่อง “คาร์บอมบ์” ต้องมีหลักฐานยืนยันด้วย และ 4.ขอทราบชื่อแพทย์ ที่รับรองการรักษา อดีตนายกรัฐมนตรีด้วย
ด้าน “ทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม ชี้แจงโดยยืนยันว่า การปฏิบัติต่อ “ทักษิณ” ไม่ใช่การเลือกปฏิบัติ และถือว่า “ทักษิณ” มีความกล้าหาญที่กลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งการออกกฎหมาย ออกระเบียบต่างๆ ก็ออกในรัฐบาลที่แล้ว ไม่ใช่รัฐบาลนี้ การส่งผู้ต้องขังไปรักษาตัวยังโรงพยาบาลภายนอกเรือนจำ เป็นไปตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ ตามที่แพทย์มีความเห็น และการที่พักอยู่ในห้องควบคุมพิเศษ ชั้น 14 รพ.ตำรวจนั้น แพทย์ไม่ได้เป็นคนจัด แต่สถานรักษาเป็นคนจัดให้ ซึ่งสถานรักษาของ รพ.ตำรวจ ขึ้นตรงกับ ผบ.ตร. เป็นไปตามกฎกระทรวงฯ ทุกอย่าง
“ทวี สอดส่อง” ยังพูดถึง เหตุการณ์ระเบิดคาร์บอมบ์ ใกล้บ้านพัก “ทักษิณ” ในอดีต เป็นปัจจัยหนึ่งที่ต้องนำตัว “ทักษิณ” ไปที่ชั้น 14 เพื่อความปลอดภัย
ช่วงนี้ “รังสิมันต์ โรม” ยังติดใจเรื่อง “คาร์บอมบ์”ที่ถูกยกขึ้นมาเป็นเหตุผลว่า เหตุเกิดตั้งแต่ปี 49 ขณะนี้ปี 67 แล้ว ยิ่งนายกฯ ออนทัวร์ ไปในที่ต่างๆ ไม่มีเหตุการณ์อะไรเลย โดยเฉพาะตอนไปเชียงใหม่ ก็เห็นชัดว่าสุขภาพแข็งแรง ลุก นั่ง ไหว้พระได้ หมอคนไหนเป็นคนวินิจฉัยว่าป่วยหนัก พร้อมจะขอเปิดสไลด์ช่วงไปเชียงใหม่ให้ดู ทำให้ ส.ส.เพื่อไทย รุมประท้วง “ประธานวันนอร์” ขอให้ควบคุมการประชุมด้วย เพราะนี่เป็นวาระกระทู้ถาม ไม่ใช่การอภิปราย ที่จะมาเปิดสไลด์ประกอบการอภิปรายได้
ทำให้ “ประธานวันนอร์” ต้องกำชับให้ “รังสิมันต์” ตั้งคำถามเลย ไม่ต้องอภิปราย ไม่ต้องเปิดสไลด์ ช่วงนี้จึงเกิดการปะทะคารมกัน ถึงขั้น “ประธานวันนอร์” ต้องขู่ว่า ถ้ายังพูดโต้แย้งต่อ โดยไม่ถามคำถามก็จะให้นั่งลง หรือเชิญออกนอกห้องประชุม การประชุมจึงดำเนินต่อไปได้
นี่เป็นตัวอย่างของบรรยากาศการปกป้อง “ทักษิณ” ที่แม้กระทั่งในสภา ก็ยังแตะไม่ได้ ขณะที่นอกสภา “ทักษิณ” ก็เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ยี่หระกับกรอบประเพณี กรอบสังคม โดยเฉพาะกรอบกฎหมาย
แล้วอย่างนี้การที่ “ทักษิณ”ออกมาเป็นตัวชูโรง จะเป็นการช่วย หรือ ฉุด กระแสความนิยมของพรรคเพื่อไทยกันแน่!!