สภาผู้บริโภค แถลงผลงาน 2 ปี 6 เดือนช่วยเหลือผู้บริโภคแล้วกว่า 358 ล้าน วอนรัฐจัดสรรงบตามกม. หวังขยายฐานสมาชิกกว่า 319 องค์กร ครอบคลุม 45 จังหวัด เร่งเดินหน้าดันนโยบายสกัดภัยอาชญกรรมไซเบอร์- แก้กม.ทัดเทียมสากล –ผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจอย่างเป็นธรรมเพื่อคุ้มครองปชช.
วันนี้ (28 มี.ค.) สภาผู้บริโภค จัดแถลงผลการดำเนินงานการคุ้มครองผู้บริโภคใน 2 ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2567 (ต.ค.66-มี.ค.67) โดย น.ส.บุญยืน ศิริธรรม ประธานสภาผู้บริโภค ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.66- วันที่ 25 มี.ค. 67 สภาผู้บริโภคช่วยเหลือผู้บริโภคไปแล้ว 6,979 ราย รวมมูลค่าการชดเชยเยียวยา 37,125,683.07 ล้านบาท ปัญหาที่ได้รับเรื่องร้องเรียนมากที่สุด บัตรคอนเสิร์ต ชดเชยการประกันภัยโควิด ปัญหาคุณภาพสัญญาณและราคาอินเทอร์เน็ต แต่ หากพิจารณาข้อมูลย้อนกลับไปตลอดระยะเวลา 2 ปี 6 เดือนที่สภาผู้บริโภคดำเนินงานสามารถช่วยเหลือผู้บริโภคที่เข้ามาร้องเรียน ได้ผลสำเร็จคิดเป็นมูลค่าประมาณ 358 ล้านบาท เช่น การแก้ไขปัญหาหนี้สินและสร้างการรู้เท่าทันกลลวงของบริษัทสินเชื่อในกรณีบริษัทศรีสวัสดิ์เข้าช่วยเหลือผู้บริโภคคิดเป็นมูลค่ารวมที่ยุติแล้ว 13,219,333.33 บาท ผลทดสอบหมวกกันน็อกเพื่อให้ผู้บริโภคได้ทราบว่าหมวกกันน็อกยี่ห้อหรือรุ่นใดที่ปลอดภัย ทั้งยังเป็นกรกระตุ้นให้หน่วยงานกำกับดูแลอย่างสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (สมอ.) ออกมาตรวจสอบคุณภาพหมวกกันน็อกที่ขายอยู่ตามท้องตลาดอีกครั้งหนึ่ง
ส่วนการผลักดันด้านนโยบายที่นำไปสู่การแก้ปัญหาให้ผู้บริโภค ผลงานเด่นที่สร้างผลกระทบต่อสาธารณะ อาทิ ผลักดันแนวคิด ราคาค่ารถไฟฟ้าไม่เกินร้อยละ 10 ของค่าแรงขั้นต่ำจนนำไปสู่การทดลองราคาค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายของรัฐบาล การเรียกร้องให้กรมการขนส่งทางบก และบริษัทรถยนต์ให้ความสำคัญและเร่งเปลี่ยนถุงลมนิรภัยที่ไม่ได้มาตรฐาน และพบว่าตั้งแต่มี.ค.65 ผู้บริโภคนำรถยนต์เข้าเปลี่ยนถุงลมนิรภัยจำนวน 118,172 ราย บริษัทรถยนต์ออกมาประกาศแจ้งเตือนรวมถึงให้ผู้บริโภคนำรถยนต์เข้ารับการเปลี่ยนถุงลมนิรภัยฟรี การยกระดับคุณภาพหน้ากากอนามัยที่ขายในท้องตลาดให้ได้มาตรฐานการป้องกันเชื้อโรค การส่งข้อเสนอไปยังสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เพื่อให้กำหนดมาตรฐานของระบบเบรกของรถจักรยานยนต์ ให้ใช้ระบบป้องกันล้อล็อก หรือ ABS
นอกจากนี้ สภาผู้บริโภคยังมีการฟ้องร้อง สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เรื่องการควบรวม เพื่อลดการผูกขาดในกิจการโทรคมนาคม การผลักดันให้รัฐบาลลดค่าไฟฟ้า น้ำมัน เพื่อความเป็นธรรมกับผู้บริโภค ผลักดันให้เกิดบำนาญประชาชน การทำงานเหล่านี้ต้องใช้เวลาและต่อเนื่องเพื่อบรรลุเป้าหมายนับตั้งแต่ ปี 2564 ถึง ปัจจุบัน มีผู้บริโภคเข้าถึงข้อมูลเผยแพร่ของสภาผู้บริโภคจำนวน 64,556,136 รีช มูลค่าประชาสัมพันธ์ 592,837,738.1 บาท ทำให้สามารถป้องกันภัยแก๊งคอลเซนเตอร์ สร้างข้อมูลความเท่าทันในประเด็นการเอาเปรียบ ความเสี่ยงต่อชีวิต และภัยจากเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามาใหม่ ๆ ให้ประชาชน
“ตลอดระยะเวลาเกือบ 3 ปี นับตั้งแต่สภาผู้บริโภคจัดตั้งขึ้น มีผลงานที่ประสบผลสำเร็จสามารถเข้าถึงปัญหาของผู้บริโภคในระดับพื้นที่ผ่านองค์กรของผู้บริโภคกว่า 319 องค์กรที่ครอบคลุมพื้นที่ 45 จังหวัด โดยการรับเรื่องร้องเรียน ไกล่เกลี่ย และผลักดันปัญหาจนนำไปสู่ข้อเสนอนโยบาย รวมถึงการพัฒนากลไกในการคุ้มครองผู้บริโภคร่วมกับหน่วยงานรัฐ ตลอดจนส่งเสริมการศึกษา วิจัย และเผยแพร่ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อส่งเสริมให้ผู้บริโภคตระหนักรู้และเท่าทันกับความเปลี่ยนแปลงและก้าวผ่านปัญหาในปัจจุบันได้”
ด้าน น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค เปิดเผยว่า ปีงบประมาณ 2567 สภาผู้บริโภคได้จัดทำคำของบไปยังรัฐบาลจำนวน 322.5 ล้านบาท แต่ครม.ได้จัดสรรให้ จำนวน 149.1 ล้านบาท ซึ่งค่อนข้างจำกัดเมื่อเปรียบเทียบกับสัดส่วนของประชากรทั้งหมดในประเทศ โดยยังยืนยันว่ารัฐบาลควรพิจารณาและดำเนินการตามที่ระบุไว้ใน พ.ร.บ.การจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค ปี 2562 โดยจัดสรรงบประมาณให้สภาผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวน 350 ล้านบาท โดยคิดเป็นอัตราเฉลี่ยคนละ 5 บาท ต่อจำนวนผู้บริโภคไทย 70 ล้านคน ซึ่งจะช่วยทำให้สภาผู้บริโภคสามารถขยายฐานงานคุ้มครองผู้บริโภคได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามแม้งบประมาณจะมีจำกัด แต่ในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปีงบประมาณปัจจุบัน สภาผู้บริโภคได้จัดทำนโยบายระดับประเทศจำนวน 13 เรื่อง เช่น ข้อเสนอเรื่องมาตรการจัดการปัญหาภัยทุจริตทางการเงินไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามและผลักดันข้อเสนอรถไฟฟ้า 20 บาท ทำได้ทุกสาย จัดทำข้อเสนอแนะทางนโยบายต่อคณะรัฐมนตรีเรื่องบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ จัดทำข้อเสนอต่อกระทรวงดีอีและบริษัทไปรษณีย์ไทยเพื่อรับรองสิทธิของผู้บริโภคในการขอเปิดดูสินค้าก่อนจ่ายเงินค่าสินค้าในบริการส่งพัสดุไปรษณีย์ และจัดทำข้อเสนอถึงรมวงพลังงานเพื่อแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าแพง
สำหรับประเด็นที่สภาผู้บริโภคเห็นว่าต้องขับเคลื่อนในเชิงนโยบายอย่างเร่งด่วน เห็นว่ามี 3 ประเด็นสำคัญ คือ อาชญากรรมไซเบอร์ การขับเคลื่อนเรื่องกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคให้ทัดเทียมสากลและเท่าทันยุคสมัย และ การทำให้ผู้ประกอบธุรกิจให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิผู้บริโภคและดำเนินธุรกิจอย่างเป็นธรรม เช่น กรณีคุณภาพสัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตที่สวนทางกับราคา หรือกรณีตั๋วเครื่องบินราคาแพง
ส่วน นายลาภิศ ฤกษ์ดี หัวหน้าหน่วยงานเขตพื้นที่ภาคเหนือ สภาผู้บริโภค กล่าวว่า เนื่องจากสภาผู้บริโภคมีหน้าที่และภารกิจในการช่วยเหลือและคุ้มครองผู้บริโภคทั่วประเทศ ดังนั้น สมาชิกองค์กรของผู้บริโภค หน่วยงานประจำจังหวัด และหน่วยงานเขตพื้นที่จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้งานคุ้มครอบผู้บริโภคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมยิ่งขึ้น ทำให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคในพื้นที่ต่าง ๆ ได้มากขึ้น ซึ่งสภาผู้บริโภคมีเป้าหมายในการเพิ่มจำนวนสมาชิกให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยมีเงื่อนไขว่าองค์กรที่สามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิกของสภาผู้บริโภค ต้องผ่านการจดแจ้งสถานะความเป็นองค์กรของผู้บริโภคต่อสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ซึ่งเป็นนายทะเบียนกลาง และนายทะเบียนกลางประกาศให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไปแล้ว จึงเป็นสิ่งยืนยันว่าองค์กรผู้บริโภคที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกนั้นมีความน่าเชื่อถือ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ และสามารถทำงานคุ้มครองผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง