ข่าวปนคน คนปนข่าว
**เกมเข็น"ทนายตั้ม" แฉ “บิ๊กต่อ” ทำ “ก๊วนโจ๊ก”เครื่องรวน กระแสตีกลับจน “หวานเจี๊ยบ”ต้องแก้ลำ เล่นบทเรียกหา“สามัคคี”
การแถลงของ “ทนายตั้ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด ที่มีเจตนาพุ่งเป้าใส่"บิ๊กต่อ "พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ต้องบอกว่าเป็น"มุขแป้ก" ดูจากความเห็นชาวโลกโซเชียล ออกไปในทางไม่ให้ค่า คำแถลงมีน้ำหนักความน่าเชื่อถือต่ำ
กระแสตีกลับ เพราะ ชาวเน็ตไม่เชื่อคำพูดสวยหรู “แฉเพื่อชาติ” ของ “ทนายตั้ม” เพราะคนๆนี้ เคยถูกแฉทำนองว่าจะแถลงอะไร ต้องมีการวางบิล โน่นนี่
นอกจากไม่เชื่อว่าแฉเพื่อชาติ ผู้คนยังเชื่อว่า “ทนายตั้ม”ออกมา เพื่อช่วยลูกพี่อย่าง “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อย่างแน่นอน
หรือไม่ก็ถูกดันหลังให้ออกมาสู้ เพราะภาษาร่างกายของ “ทนายตั้ม” ดูไม่ปลอดโปร่ง ไม่คึกคัก มีแวววิตกกังวล
เนื้อหาก็สับสนอลหม่าน จนโดนวิจารณ์ว่าเป็นการแฉแบบ“น้ำท่วมทุ่ง”
มิหนำซ้ำ เรื่องเพจปลิว แล้วกลับมาใหม่อย่างรวดเร็วในวันเดียว ก็เป็นตัวบ่งชี้ว่า ไม่มีผู้มีอำนาจคนไหนไปปิดกั้นเพจของ “ทนายตั้ม” แต่เป็นปลายนิ้วของแอดมินเพจเอง ที่กดปิดชั่วคราว เพื่อปั่นกระแส!!
สรุปว่าอาวุธของ “โจ๊ก” ที่ชื่อ “ทนายตั้ม” ไม่ได้ช่วยอะไรโจ๊ก มีแต่จะทำให้ถูกเพ่งเล็งจากรัฐบาลหนักเข้าไปอีก ไม่ต่างอะไรกับการพลีชีพ "ตีโง่"
เพราะอุตส่าห์เด้งเข้ากรุแล้ว แทนที่จะอยู่สงบเสงี่ยม กลับยังฟาดงวงฟาดงา ผ่านมือไม้ แบบว่าเล่นไม่เลิก!
อีกอาวุธของ “โจ๊ก” ที่สร้างความตลกขบขันในแวดวงตำรวจ ก็คือ การยืดอกมั่นใจ เดินมารับทราบข้อหาของ “พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ” ตำรวจพ่อบ้าน มือบริหารบัญชีม้าของ “โจ๊ก”
“พ.ต.ท.คริษฐ์” มาที่ สน.เตาปูน พร้อมกับ “พล.ต.ต.ไพโรจน์ กุจิรพันธ์”นายกสมาคมพนักงานสอบสวน ลูกน้องอีกคนของ “โจ๊ก” ซึ่งก็ถูกดำเนินคดีข้อหารับส่วยเจ้าแม่มินนี่ ด้วยกัน
เพื่อขอมอบตัวคดีใหม่ คดีที่ “พ.ต.อ.ดุสิต พรหมสิน” ผกก.สส.ภ.จว.สงขลา แจ้งจับข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ มาตรา157
เรื่องมันตลก ตรงที่คณะพนักงานสอบสวน ยังไม่ได้มีหมายเรียกใดๆ ไปที่ “พ.ต.ท.คริษฐ์” ให้มารับทราบข้อหาใหม่ใดๆทั้งสิ้น แต่ พ.ต.ท.คริษฐ์ ช่างเป็นผู้ต้องหาแสนดี แอ่นอกรับโทษหนัก ก่อนตำรวจจะทำคดีด้วยซ้ำ
ซึ่งในวันนั้น ใครบางคนก็นัดสื่อมวลชนให้แห่มาที่ สน.เตาปูน เพื่อรอทำข่าว “พ.ต.ท.คริษฐ์” มอบตัว
ไล่เลี่ยกัน ก็มีทนายความของ “โจ๊ก” มาที่ สน.เตาปูน เพื่อเปิดแถลงเรียกร้องให้คณะพนักงานสอบสวน ยุติการทำคดี ชี้ว่าไม่มีอำนาจ ทุกสำนวนของ “โจ๊ก” ต้องส่งไปที่ ป.ป.ช. เท่านั้น
ทุกความเคลื่อนไหวเหล่านี้ สอดรับกันเป็นขบวนการ อย่างการแจ้งจับ “พ.ต.ท.คริษฐ์” มาตรา 157 ก็เพื่อนำร่องให้ส่งคดีไปที่ป.ป.ช. แล้วผู้เป็นนายอย่าง “โจ๊ก”จะได้เดินตามเส้นทางเดียวกัน
ไม่วายพนักงานสอบสวน จะพูดปากแทบฉีกว่า คดีเว็บ BNK Master มันเป็น “คดีฟอกเงิน” ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยกับขอบเขตอำนาจของป.ป.ช.
ขณะที่ป.ป.ช. ซึ่งเป็นลมหายใจของ “โจ๊ก” ตอนนี้ก็เริ่มแผ่วโหยลงตามลำดับ โดยเจ้าหน้าที่ป.ป.ช. กำลังถูกดำเนินคดีถูกแจ้งจับต่อ บก.ปปป. เมื่อวันที่ 8 มี.ค.67 เนื่องจากมีพฤติกรรมไปช่วยเหลือตกแต่งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จของ “โจ๊ก”
กรณีที่ “เฮียอั๊ง เมืองชล” เซียนพระจอมอื้อฉาว รายงานเท็จ เรื่องการซื้อพระเครื่องจากอดีตผู้ว่าฯ คนหนึ่ง แล้วอ้างว่าแบ่งเงินค่านายหน้าให้ “โจ๊ก” เป็นจำนวนถึง 13 ล้านบาท แล้ว “โจ๊ก” นำ “รายได้ทิพย์” นี้มาบรรจุในบัญชีทรัพย์สิน รายงานต่อ ป.ป.ช.
นี่มันตลกร้ายของเมืองไทยแท้ๆ คนในป.ป.ช. องค์กรปราบโกง ดันไปร่วมทุจริตกับเจ้าหน้าที่รัฐ หน้าตาเฉย
มิหนำซ้ำ กรณีลูกน้องโจ๊กอีกคน “พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิสมัย” เป็นโจทก์ฟ้อง “พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์” รอง ผบ.ตร. กับชุดพนักงานสอบสวน รวม 244 คน ซึ่งมี “พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์” และ “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” รวมอยู่ด้วย ก็ปรากฏว่า ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง ศาลอ่านคำพิพากษาในชั้นตรวจฟ้องคดี "ยกฟ้อง" ก็หน้าแหกกันไป
ขณะที่ตัวลูกพี่ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” โพสต์เฟซบุ๊ก “สุรเชษฐ์ หักพาล” ยืนยัน จะไม่มีการแถลงข่าวเปิดใจใดๆทั้งสิ้น ตามกระแสที่สะพัดออกมา โดยอ้างว่าสื่อปั่นกระแส ให้เกิดความขัดแย้งอีก เพราะช่วงนี้ยุ่งมาก ทำงานแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนตามมติ ครม.
ถ้าสื่อไหนเขียนโยงว่าจะเปิดใจ ให้หยุดนะครับนะ ถ้าไม่หยุดผมจะดำเนินคดีอาญา
จบด้วยการเรียกร้อง เรามาสร้างสังคมแห่งความสามัคคีด้วยกัน
น่าสังเกตว่า โพสต์ของ รอง ผบ.ตร. มีขึ้นหลังจาก “ทนายตั้ม” ออกโรง แล้วกระแสตีกลับ เป็นไปได้หรือไม่ว่า “โจ๊ก”เห็นท่าไม่ดี..แก้เกมด้วยงัดมุกทำงาน และพูดหล่อๆ...มาสามัคคีกันเถอะ
มุกนี้ถูกนำมาใช้ ฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าอะป่าว...ที่ผ่านมาก็ไม่เคยเป็นอย่างที่พูดทุกที...นะครับนะ
**“เจ๊เพ็ญ” กลับไทย!! โมเดลเทวดาชั้น 14 ทำให้ลิ่วล้อ ตัดสินใจตามมา
หลังจากลี้ภัยไปต่างประเทศโดยใช้ช่องทางธรรมชาติ จ่ากนั้นเดินทางไปหลายประเทศ แล้วมีข่าวว่าได้วกกลับมากบดานที่กัมพูชานี่เอง ล่าสุด “เจ๊เพ็ญ” จักรภพ เพ็ญแข ก็ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Jakrapob Penkair ว่า...วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม 2567 เวลา 07.35 น. จักรภพ เพ็ญแข กลับไปรับใช้ เมืองไทยครับ
“จักรภพ เพ็ญแข” หรือ “เอก” เกิดวันที่ 21 ตุลาคม 2510 วันเด็กเรียนที่โรงเรียนสาธิต ม.เกษตรศาสตร์ จากนั้นเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี ที่คณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , ปริญญาโท และปริญญาเอก มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปส์กิน สหรัฐอเมริกา
เคยทำงานที่ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ และเข้ารับตำแหน่งเจ้าหน้าที่ทูต กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ก่อนจะลาออกมายึดอาชีพนักสื่อสารมวลชน จนสร้างสร้างชื่อเสียงในฐานะผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ เป็นนักวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศระดับกูรู จากนั้นผันตัวเข้าสู่การเมืองในช่วงที่ “ระบอบทักษิณ” กำลังเฟื่องฟู
เป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล “ทักษิณ ชินวัตร” ช่วงปี 2546-2548 เคยลงสมัครส.ส.ในนามพรรคไทยรักไทย
เคยเป็นอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล “สมัคร สุนทรเวช” ปี 2551 มีหน้าที่กำกับดูแลสื่อมวลชนภาครัฐ และยุคนี้เองที่มีการเปลี่ยนแปลงสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 เป็นสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (เอ็นบีที)
จุดยืนและทัศนคติทางการเมืองของ “จักรภพ” เป็นที่รับรู้กันว่าเขาอยู่ในสาย “ล้มเจ้า” ระดับแถวหน้าคนหนึ่ง
เคยถูกแจ้งความดำเนินคดีอาญา มาตรา 112 จากการปาฐกถาเป็นภาษาอังกฤษ ในหัวข้อเรื่อง “ระบบอุปถัมภ์ ในฐานะที่เป็นอุปสรรคขัดขวางความเป็นประชาธิปไตย” ที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 แต่ที่สุดแล้ว อัยการสั่งไม่ฟ้อง
แม้อัยการสั่งไม่ฟ้อง แต่นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจลี้ภัยการเมืองในเวลาต่อมา
ช่วงที่มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง แบ่งสีเหลือง- แดง “จักรภพ” ถือเป็นแกนนำเสื้อแดง คนสำคัญ เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) และต่อมาขยายตัวมาเป็นกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ก่อนที่จะตัดสินใจเดินทางออกนอกประเทศ และเมื่อเกิดรัฐประหาร เมื่อปี 2557 ได้ถูกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เรียกให้ไปรายงานตัว แต่เขาไม่ไป จึงถูกศาลทหารออกหมายในข้อหาฝ่าฝืนการไปรายงานตัว
จากนั้น วันที่ 23 มิถุนายน 2558 ถูกศาลททหารออกหมายจับ 1 หมาย และวันที่ 28 มิถุนายน 2558 ก็ถูกออกหมายจับอีก 1 หมาย รวมเป็น 2 หมายจับ ข้อหามีอาวุธสงครามไว้ในครอบครอง
ต่อมาวันที่ 7 ธันวาคม 2560 ศาลอาญาได้ออกหมายจับอีก 1 หมาย ในข้อหาร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิด ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และเป็นอั้งยี่
เป็นอันว่า “จักรภพ” กลับมาคราวนี้ มีหมายจับรอเขาอยู่ 3 หมายจับ
ก็ต้องติดตามดูกันว่า เมื่อ “จักรภพ”ตัดสินใจกลับมาในยุคที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล มี “เทวดาชั้น 14” เป็น “โมเดล” ให้เห็นว่า เมื่อพวกพ้องครองอำนาจทางการเมือง ก็ไม่ต้องกลัวคุก แต่เมื่อเขากลับมาแล้วจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่
อย่างไรก็ตาม เมื่อ “จักรภพ” โพสต์เฟซบุ๊กว่าจะกลับมาวันนี้ ทาง “ชินวัฒน์ หาบุญพาด” อดีต สส.เพื่อไทย และอดีตแกนนำ นปช. ก็เข้ามาแสดงความเห็นว่า... ยินดีต้อนรับ กลับมาแล้วอย่าทิ้งอุดมการณ์ อย่าตะบัดสัตย์นะครับ ... ขณะเดียวกัน ก็มีคนเข้ามาแซว “ชินวัฒน์” ว่า คุณชินวัฒน์ สบายดีนะคะ เปลี่ยนเป็นด้อมแล้วหรือคะ ซึ่ง “ชินวัฒน์” ก็ตอบกลับว่า ไม่เป็นอะไรทั้งนั้น แต่ไม่ชอบคนตระบัดสัตย์!!