ข่าวปนคน คนปนข่าว
**เพราะนี่คือยางพารา ที่แท้มีเบื้องหลัง!? "บ." เครือญาติ "สว.พลเดช" วิ่งล็อบบี้ โยนขี้พญานาคราช
ในการประชุมวุฒิสภา อภิปรายรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน มีเรื่องให้ต้องพูดถึงกรณี “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รมว.เกษตรและสหกรณ์ ลุกขึ้นตอบโต้ “นพ.พลเดช ปิ่นประทีป” ที่ดูแล้วไม่น่าจะจบแค่ในสภาฯ
จาก “สว.พลเดช” ที่อภิปราย ยกความเดือดร้อนของชาวสวนยางพารา อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ที่ตัวเองได้รับเรื่องร้องเรียนมาแฉว่า มีทีม “เจอ จ่าย จบ ไม่จ่ายเป็นเจ็บ” ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “พวกสัมภเวสี”เรียกรับกล้วย 1 กิโลฯ เป็นเครื่องเซ่นแลกกับการเลิก “อายัดยาง” 600 กว่าตัน มูลค่าประมาณ 15 ล้านบาท ของชาวบ้าน พฤติกรรมนี้ถือว่าซ้ำเติมความทุกข์ยากของชาวบ้าน
สัมภเวสีที่ว่า ย่อมหมายถึงหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจพญานาคราช ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมกับถาม รัฐมนตรีรับทราบเรื่องนี้หรือไม่ ?
แถมยังมี “มาเฟียหน้าด่าน” ทีมเฉพาะกิจพญานาคราช ตั้งด่านเพื่อจัดระเบียบการขนส่งสินค้ายางพารา ประเภทข้ามแดน แฝงด้วยการใช้อำนาจอิทธิพลจัดการคู่แข่งทางธุรกิจของพวกพ้อง
ปิดท้ายด้วยคุณหมอสว. ฝากถึงนายกฯ ลงมาดูแลแก้ปัญหา และมาจบด้วยวลีที่ว่า “เพราะนี่คือยางพารา ไม่ใช่แป้ง” จนเป็นชนวนเหตุให้ “ร.อ.ธรรมนัส” ลุกขึ้นสวนหมัดวลีนี้ จงใจทิ่มแทงมาที่ตน อย่างดุเดือดฟาดกลับ “สว.พลเดช” เป็นถึงผู้ทรงเกียรติ แต่กลับอภิปรายพูดจาส่อเสียด
ใครจะแซะ ใครจะฟาด ก็ว่ากันไป แต่ที่น่าสนใจกลับเป็น คำถามย้อนกลับมาถาม “สว.พลเดช” ของ “ร.อ.ธรรมนัส” ที่นอกจากจะท้าทายให้เปิดชื่อเจ้าหน้าที่ หน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจพญานาคราชที่ว่าเรียกรับกล้วย?
มีข้อมูลอีกด้านให้ชวนสงสัยว่า เรื่องของชาวสวนยางพาราที่ “สว.พลเดช” ยกมาอ้างชาวบ้าน แต่คนที่ไปร้องทุกข์เป็น “เครือญาติ”ของตัวเอง แบบนี้ใช่ทำเพื่อรักษาผลประโยชน์ชองธุรกิจตัวเอง และพวกพ้องหรือไม่ ?
เรื่องนี้ฟังมาว่า เครือญาติของสว. มีชื่อย่อว่า “บ.” เคยเป็นผู้สมัครของพรรคเสรีรวมไทย แล้วไปขออยู่กับเศรษฐกิจไทย จากนั้นย้ายไปอยู่ ไทยสร้างไทย คนๆ นี้ เทียวไล้เทียวขื่อ "ล็อบบี้" เรื่องยางพารามาตั้งแต่ต้น
อีกอย่าง ต้องไม่ลืมว่า ชุดพญานาคราช มีคนทำงานมาจากหลายหน่วย มีผู้แทนจากอัยการสูงสุด ปปง. เจ้าหน้าที่จากฝ่ายความมั่นคง ของกระทรวงกลาโหม เจ้าหน้าที่จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ผู้ทรงคุณวุฒิ
กรณีหากจะเรียกรับกล้วยมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน คนที่มีปัญญาย่อมคิดกันได้ว่า ยาก!
พอทีมเฉพาะกิจพญานาคราช ทำหน้าที่เข้มงวดย่อมกระทบต่อผู้เสียประโยชน์ที่เป็นกลุ่มพ่อค้า-นักธุรกิจหัวใส ไม่ใช่ประชาชน แน่ๆ
สำหรับด่านที่ตั้ง ก็ไม่ใช่ทีมพญานาคราช แต่เป็นของกรมวิชาการ เพราะชาวบ้านได้ร้องเรียนว่า มีกลุ่มพ่อค้าหัวใสไปปลูกยางฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน เพราะค่าแรงงานถูก ต้นทุนการผลิตต่ำ ก่อนจะลักลอบนำเข้ามาขายในประเทศไทย โดยที่สินค้าบางล็อต ขนส่งไปยังมาเลเซีย
นี่ต่างหากที่สร้างความเสียหายให้กับวงการยาง
งานนี้ต้องสืบหาข้อเท็จจริงว่า บริษัทที่ได้รับผลกระทบ คือ บริษัทของใคร และเป็นเครือข่ายของใคร?
เรียกว่า “คดีพลิก” จะไปอีกด้านจากที่ “สว.พลเดช” อภิปรายหรือไม่ ?
งานนี้ เข้าทำนองตั้งใจจะให้ทุกข์แก่ท่าน แต่ทุกข์นั้นกลับจะย้อนหาตัวหรือไม่หนอคุณหมอ ?
**“ทักษิณ” ขยับตัวถี่ยิบ โชว์อหังการ “เจ้าของเพื่อไทย” วางโปรแกรมลงพื้นที่รัวๆ ประจานคำประกาศ “วางมือการเมือง-อยู่บ้านเลี้ยงหลาน” ไม่มีจริง
คึกคักตามคาด บรรยากาศต้อนรับ“นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร ที่เดินทางเข้าที่ทำการพรรคเพื่อไทย ที่อาคาร โอเอไอ ย่านถนนเพชรบุรีตัดใหม่ กทม.
มีทั้งบรรดาแฟนคลับ-รัฐมนตรี-สส. มาร่วมต้อนรับกันอย่างเนืองแน่น
เป็นหมายสำคัญที่ทำให้เหล่ารัฐมนตรีในสังกัดพรรคเพื่อไทย ทั้ง “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์, “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รมว.คมนาคม, “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” รมว.สาธารณสุข, “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, “เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช” รมว.วัฒนธรรม และ “พวงเพ็ชร ชุนละเอียด” รมต.สำนักนายกฯ เป็นอาทิ ต้อง “ลาราชการ“ มาเรียงแถวรอต้อนรับ“นายใหญ่”
ทั้งที่เป็นวันอังคาร ซึ่งเป็นวันประชุมคณะรัฐมนตรี ประจำสัปดาห์ แต่รัฐมนตรีที่ว่าไป ก็รีบออกจากทำเนียบรัฐบาลทันทีที่ประชุมเสร็จ โดยไม่อยู่รับประทานอาหารกลางวันกับ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี เช่นปกติ
ยิ่งขยายประเด็นว่า ไผเป็นไผ ใครเป็นตัวจริง ได้เป็นอย่างดี
มีการให้เห็นผลว่า เหตุที่ “ทักษิณ” เดินทางมาที่พรรคเพื่อไทย เพราะต้องการเปิดโอกาสให้ สส.เข้าพบ ด้วยมีการประสานขอคิวเข้าพบมาเป็นจำนวนมาก แต่ไม่สะดวกที่จะให้ไปพบที่ “บ้านจันทร์ส่องหล้า”
แต่อีกกระแสก็ว่า การมาที่พรรคเพื่อไทย ซึ่งหัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน คือ “ลูกอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนเล็กของนายใหญ่ เป็นการประกาศความเป็น “เจ้าของพรรค” มากกว่าที่จะตั้งใจมาพบปะ สส.อย่างที่อ้าง
เพราะว่ากันว่า รัฐมนตรี-สส.เพื่อไทย ต่างมีโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ“นายใหญ่”ในทางลับเกือบจะทั่วหน้าแล้ว ตั้งแต่เดินทางกลับประเทศไทย เมื่อ 22 ส.ค.67 โดยเฉพาะหลังได้พักโทษออกจาก รพ.ตำรวจ เมื่อ 18 ก.พ.67 ที่ว่ากันว่า บ้านจันทร์ส่องหล้า หัวกระไดไม่แห้งเลยทีเดียว
ใครก็รู้กันว่า“ทักษิณ” คือเจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง ตั้งแต่อุบัติใหม่มาจากพรรคไทยรักไทย-พลังประชาชน และตัดกันไม่ขาดตลอด ไม่ว่าจะยามที่หนีคดีอยู่ในต่างประเทศ 17 ปี ที่เจ้าตัวพร่ำเพ้อว่า วางมือทางการเมืองแล้วล้านเปอร์เซ็นต์
และต้องไม่ลืมว่า อาคารโอเอไอ หรือ OAI Tower ที่ทำการพรรคเพื่อไทย ซึ่งเดิมก็เคยเป็นที่ทำการพรรคไทยรักไทย-พลังประชาชน มาก่อน ก็ตั้งชื่อเรียกตามชื่อเล่นลูกทั้ง 3 ของ ”“ทักษิณ” ตัว O ก็คือ โอ๊ค-พานทองแท้”, ตัว A ก็มาจาก “เอม-พินทองทา” ส่วน I เป็นใครไม่ได้นอกจาก “อุ๊งอิ๊งค์-แพทองธาร” แม้จะมีบางช่วงที่ “พรรคทักษิณ” ย้ายที่ทำการไปอยู่สถานที่อื่น เพื่อลดกระแสทางการเมืองก็ตาม
การมาปรากฏตัวที่พรรคเพื่อไทย ตลอดจนการเคลื่อนไหวแบบไม่พัก นับตั้งแต่ได้รับการพักโทษ ก็เสมือนเป็นการประจานว่า น้ำคำของ “ทักษิณ” เชื่อไม่ได้ โดยเฉพาะที่ประกาศซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า วางมือทางการเมืองอย่างเด็ดขาดแล้ว
มิพักต้องพูดถึงอาการป่วยเจียนตาย อันเป็นข้ออ้างในการรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ตำรวจ ตลอด 6 เดือน ที่ต้องโทษจำคุก แบบไม่แวะกลับไปค้างคืนที่เรือนจำแม้แต่คืนเดียว
รวมไปถึงความปรารถนาที่เคยดึงดรามา ว่าอยากกลับประเทศไทยเพื่อมา“เลี้ยงหลาน” ก็ไม่มีอยู่จริง
เพราะตลอดหนึ่งเดือนเศษหลังได้รับการพักโทษ ตั้งแต่ 18 ก.พ.67 “ทักษิณ” ก็มีความเคลื่อนไหวในทาง“เปิดเผย” โดยตลอด ตั้งแต่การมาเยี่ยมไข้ของ “สมเด็จฮุนเซน” ประธานองคมนตรีกัมพูชา และอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา รวมถึง “นายกฯเศรษฐา” ที่เข้าไปพบถึงบ้านจันทร์ส่องหล้า
จากนั้นก็ดูจะโลว์โปรไฟล์เก็บตัวอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะประกาศ “ทริปปิ๊กบ้านเกิด” ก็มีความเคลื่อนไหวแบบรัวๆ ตั้งแต่ 13 มี.ค.67 ที่เดินทางไปที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เพื่อกราบนมัสการสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช
ถัดมา 14 มี.ค.67 ไปสักการะศาลหลักเมืองกรุงเทพฯ ช่วงเช้ามืด ก่อนจับเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว บินไปเชียงใหม่ บ้านเกิด โดยมีโปรแกรมลงพื้นที่ตลอด 3 วัน 14-16 มี.ค.67 จนกลับ กทม. ซึ่งในระหว่างทริปเชียงใหม่นี่เอง ที่ “ทักษิณ” สลัดอาการป่วยแบบปลิดทิ้ง
และเมื่อ 24 มี.ค.67 จู่ๆ “ทักษิณ” ก็ไปเดินทางตัดผมย่านบีทีเอส ศาลาแดง ถ.สีลม โดยมีประชาชนแห่แหนมาทักทาย ขอถ่ายรูปและโพสต์ภาพผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งในทางการเมืองมองว่าเป็นการ “เช็กเรตติ้ง”
กระทั่งเมื่อวาน (26 มี.ค.) ก็เดินทางเข้ามายังที่ทำการพรรคเพื่อไทย
จนเชื่อได้ว่า หลังจากนี้เป็นต้นไป จะเห็น “ทักษิณ” เคลื่อนไหวหนักข้อมากขึ้น โดยมีการวางโปรแกรมหลวมๆไว้ว่า จะเดินทางไปพบปะประขาชนทั่วประเทศ โดยคิวถัดไปจะไปที่ จ.อุดรธานี เพื่อเยี่ยมเยียน “ขวัญชัย ไพรพนา” ขุนพลเสื้อแดงคู่ใจ ที่อาการป่วยรุมเร้า และอาจกลับไปฉลองปี๋ใหม่เมือง เทศกาลสงกรานต์ ที่จ.เชียงใหม่ อีกรอบ
เป็นจังหวะก้าวของ “นายใหญ่เพื่อไทย” ที่ในทุกๆลีลาย่อมหวังผลทางการเมืองไม่มากก็น้อย
ถือได้ว่าเครื่องติดแล้ว และคงหยุดยากสำหรับคนชื่อ “ทักษิณ” ที่นับวันยิ่งทำให้คำประกาศวางมือการเมือง-อยู่บ้านเลี้ยงหลาน เป็นแค่ลมปากที่ไม่มีอยู่จริง