ข่าวปนคน คนปนข่าว
** “ทนายตั้ม”หงายไพ่ "แฉเพื่อชาติ" ตัวช่วยหรือ "ตีโง่" ช่วยซ้ำ "โจ๊ก" -เอาดีๆ “หวานเจี๊ยบ” ยกเลิกบินอังกฤษ แต่ทำไมไม่แคนเซิลตั๋ว!?
เมื่อ “ทนายตั้ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด เคลื่อนไหวจับประเด็น"สีกากี" ด้วยสไตล์ลีลาหยอด "ยั่วให้อยาก" ตามถนัด ก็มีคำถามตามมา
อยู่นิ่งๆ ตั้งนาน มาโหนกระแสเอาอะไรตอนนี้ !? ตั้งใจจะพลิกสถานการณ์ช่วยใคร หรือไม่ ?
วันนี้ชาวขาเผือกโซเชียลฯ ต่างปูเสื่อรอชมด้วยความคัน เมื่อ“ทนายตั้ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด โพสต์ข้อความลงเพจ เฟซบุ๊กส่วนตัว “ยั่วให้อยาก” มาสองวันติด
ใจความโดยสรุป ทนายคนดังไปได้ข้อมูลมาชุดนึง บอกว่า เร้าใจมากๆแต่ก็สองจิตสองใจ เปิดหรือไม่เปิดดี
ถ้าเปิดออกไป ครอบครัวเดือดร้อนแน่ แต่ก็อยากเปิด เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง
แน่นอนว่า ข้อมูลที่ “ทนายตั้ม”จะเปิดเกี่ยวข้องกับ “บิ๊กตำรวจ” ที่เขาระบุมาพร้อมภาพประกอบเงินปึกใหญ่ ตั้งเป็นคำถามว่า ส่วยใคร จ่ายให้ใคร ?
ยั่วกันขนาดนี้ ใครบ้างจะไม่อยากรู้ จึงเป็นที่มาของอีกโพสต์ตามมาล่าสุดที่นัดสื่อให้ไปฟังคำเฉลย ที่สำนักงาน Sittra Law Firm โดยภาพกราฟิกประกอบ เป็นภาพของนายตำรวจ 3 คน มีชื่อ “ดาบยาว” ระบุว่าเป็นหน้าเสื่อรองฟาง , “รองฟาง” คนสนิท “บิ๊กต่อ” และพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.”
“ทนายตั้ม” ระบุ ไปต่อให้สุด กับการเปิดโปงขบวนการส่วยตัวทอป แบบม้วนเดียวจบ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม ? มารอดูกัน ไม่ได้ทำเพื่อใคร แต่ทำเพื่อชาติ !!
และยังบอกด้วยว่า “ก่อนถึงวันแถลงข่าว ผู้ใหญ่คนไหนโทรมากดดัน หรือขอร้องอะไรผม ชื่อของท่านจะปรากฏในการแถลงข่าวพรุ่งนี้ด้วย ฉะนั้นอยู่นิ่งๆ กันไว้ อย่ามายุ่งกับเรื่องนี้”
เรียกว่า โหมโฆษณากันเต็มที่ แต่ก็มีเสียงชาวเน็ตที่ไม่เชื่อว่าทนายคนดัง จะกล้าเปิดหมด สุดท้ายไม่มีอะไร
“ทนายตั้ม”จึงยกคดีที่ผ่านๆ มา
คดีผู้กำกับโจ้ คดีปริญญ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ติดคุกอ่วม
คดีครูปรีชา ศาลก็พิพากษาจำคุกไปแล้วที่เป็นผลงาน แถมย้ำเป็นคนจริง ไม่เคยขู่ตบทรัพย์ใคร
เท่านั้นยังไม่พอ ยังบอกว่านี่เป็นแค่ไพ่ใบแรกที่จะหงายออกมา
นี่ทำให้หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า ยังจะมีไพ่อีกหลายใบตามมาเช่นนั้นหรือ!?
ไพ่ที่จะหงายใช่พุ่งเป้าหมายยิงตรงไปที่ "บิ๊กต่อ" หรือไม่ ?!
หากเป็นเช่นนั้น ก็คงจะเป็น “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” รอง ผบ.ตร. ที่ถูกกล่าวหาในคดีฟอกเงิน ซึ่งกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ถูกออกหมายเรียก 2 ครั้ง และครั้งต่อไปย่อมเป็นหมายจับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่ได้ประโยชน์ไปเต็มๆ
ต้องไม่ลืมว่า ด้วยความสัมพันธ์ระหว่าง “ทนายตั้มกับโจ๊ก” นั้นแนบแน่นกันแค่ไหนใครๆ ก็รู้
ขณะที่ “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” มีความเคลื่อนไหวสอดรับ “ทนายตั้ม” อย่างบังเอิญ คนเหมือนได้เติมไฟ เติมแรง มีลูกฮึดเปิดเกมรุกสู้
ตอนแรกจะบินไปอังกฤษ โดยมีกระแสข่าวว่าจะนัดพบกับ "ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์" จอมแฉไปไถไป ที่อยู่ระหว่างรักษาตัวกลับลำโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว หล่อๆ ว่า ขอยกเลิกลาพักร้อน เพราะต้องทำภารกิจที่นายกฯ มอบหมาย เห็นแก่ความเดือดร้อนเรื่องที่ดินทำกินของประชาชน มาก่อนส่วนตัว
แหม..ใครที่เพิ่งรู้จัก “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” ก็คงชื่นชมในความเสียสละ ช่างสุดติ่งกระดิ่งแมว หล่อเสียจริง
ความเป็นจริงทราบมาอีกอย่างหนึ่งว่า ภารกิจที่นายกฯ มอบหมายเป็นกำหนดการที่มีมาเนิ่นนานแล้ว คำถาม คือทำไม “โจ๊ก” เกิดจะขยันมาทำเอาตอนนี้ !?
แถมปากว่ายกเลิกไปอังกฤษ แต่ก็มีคนไปสืบได้อีกเช่นกันว่า “โจ๊ก” ยังไม่ได้ยกเลิกตั๋วเดินทางไปอังกฤษแต่อย่างใด?
เอาเป็นว่า ไม่ว่า “โจ๊ก” หรือ “ทนายตั้ม” รู้กัน หรือสมคบคิดกันทำรายการ "แฉเพื่อชาติ" ซึ่งคุ้นๆ ว่า "ชูวิทย์" ก่อนจะหายหัว ก็เคยใช้รายการนี้ แต่สุดท้ายก็จบไม่เป็นท่า การเลือกจังหวะออกมาด้อยค่าฝ่ายตรงข้ามในจังหวะเวลาที่ฝ่ายตัวเองกำลังจะถูกออกหมายจับ “ทนายตั้ม” ยอมเอาตัวเองมาเสี่ยง ใช่คำนวณว่าเป็นการกระทำที่ชาญฉลาดแล้วหรือ ?
ใช่ประเมิน "บิ๊กต่อ" ต่ำเกินไปหรือไม่? อย่าลืมว่า "บิ๊กต่อ" ย่อมไม่ธรรมดา
เชื่อได้เลยว่า แฉปุ๊บ จะมีผลกระทบเข้าตัว และแคนนอนไปโดน "โจ๊ก" อีกตามมาอย่างแน่นอน
คิดว่าตัวเองฉลาดเป็น "ตัวช่วย" แต่อาจจะกลับกลายเป็น "ตัวซวย" ช่วยซ้ำเติม "ตีโง่" ให้ “โจ๊ก” ก็เป็นไปได้หมด ...งานนี้ต้องติดตามอย่ากระพริบตา
** เกาะติด“ชิดชอบคอนเนกชั่น” กับคดียุบพรรคภูมิใจไทย
ตอนนี้คดียุบพรรคภูมิใจไทย ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของกกต. ซึ่งยังบอกไม่ได้ว่า มีความคืบหน้าไปแค่ไหน จนมีเสียงวิพากวิจารณ์ว่า ถูกดองเค็มมาเป็นปีแล้ว!!
คดีนี้มีสารตั้งต้นมาจาก กรณีศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยชี้ขาดในคดี “ซุกหุ้น” ให้ “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รมว.คมนาคม ในขณะนั้น พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี เนื่องจากถือหุ้น หจก.บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น โดยไม่ชอบ และหจก.บุรีเจริญฯ นี้ ได้บริจาคเงินเข้าพรรคภูมิใจไทย จึงมีการมองว่า เงินดังกล่าวอาจถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นเหตุให้มีผู้ไปยื่นคำร้องต่อ กกต. ขอให้พิจารณายุบพรรคภูมิใจไทย เหมือนที่เคยยุบพรรคอนาคตใหม่ จากกรณี “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ปล่อยเงินกู้ให้พรรค
ตามขั้นตอนของการพิจารณาเรื่องนี้ คือ เมื่อกกต.รับเรื่องไว้แล้ว ก็ต้องตั้งคณะทำงานเพื่อสืบสวนสอบสวน หาพยาน หลักฐาน เชื่อมโยงในการเอาผิด ขณะเดียวกันก็ต้องเรียกผู้ถูกร้องมาชี้แจง แสดงหลักฐาน คัดค้าน แก้ต่าง ด้วย
เมื่อคณะทำงานเห็นว่ามีข้อมูลเพียงพอที่จะพิจารณาได้แล้ว ก็ส่งให้ “นายทะเบียนพรรคการเมือง” ซึ่งเป็นเสมือนด่านแรก ที่จะเป็นผู้ตัดสินในเบื้องต้นว่า จะยุบพรรคหรือไม่ หากนายทะเบียนฯเห็นว่าข้อมูลยังไม่เพียงพอ ก็สั่งให้คณะทำงานไปหาข้อมูลเพิ่ม หรือระหว่างนี้ ฝ่ายผู้ถูกร้องอาจขอเพิ่มพยาน ขอยายเวลา ก็จะทำให้ขั้นตอนนี้ยืดเวลาไปอีก
หากนายทะเบียนฯ เห็นว่ามีข้อมูลเพียงพอแก่การพิจารณาแล้ว ก็จะทำการสรุปสำนวนคดี ถ้าเห็นว่าสมควรยุบพรรค ก็จะเสนอเข้าที่ประชุม กกต.ชุดใหญ่ เพื่อพิจารณา และมีมติ ... หาก กกต.ตีตก ก็จบข่าว แต่ถ้ามีมติให้ยุบพรรค ก็ต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดอีกที เป็นขั้นตอนสุดท้าย
หากศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ยุบพรรค สิ่งที่จะตามมาก็คือ คำสั่งตัดสิทธิ์ทางการเมืองของคณะกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด
“เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่แอบลุ้นลึกๆว่าจะก้าวไปถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ต่างอะไรกับถูกประหารชีวิตทางการเมืองทันที
และบุคคลที่เป็นด่านแรก ที่จะชี้เป็นชี้ตายพรรคภูมิใจไทย ก็คือ “แสวง บุญมี” เลขาธิการกกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองนั่นเอง
สำหรับ “แสวง บุญมี” พื้นเพเป็นคนจังหวัดบุรีรัมย์ และว่ากันว่า มีสายสัมพันธ์อันดีกับ “บ้านใหญ่บุรีรัมย์-ตระกูลชิดชอบ” มาตั้งแต่ยุค “ปู่ชัย ชิดชอบ” อดีตประธานรัฐสภา บิดาของ “เนวิน และศักดิ์สยาม”
จึงมีการจับตาว่า ด่านแรกอย่าง “แสวง บุญมี” จะสรุปเรื่องนี้ออกมาอย่างไร
แต่ล่าสุด ก็มี “แหล่งข่าวระดับสูง” ในสำนักงาน กกต. ออกมาอธิบายในเชิง“ชี้มูล”ต่อเรื่องนี้ว่า กรณีของพรรคภูมิใจไทย จะถูกยุบหรือไม่อยู่ที่ 3 องค์ประกอบ ที่หากเข้าข้อใดข้อหนึ่ง ก็สามารถถูกยุบได้ คือ 1. วิธีไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เหมือน กรณีพรรคอนาคตใหม่กู้เงิน 2. คนให้ไม่มีคุณสมบัติ หรือมีคุณสมบัติต้องห้าม และ3. ที่มาของเงินถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
แหล่งข่าวคนนี้บอกว่า เมื่อพิจารณาองค์ประกอบแล้ว เห็นว่า 1. เรื่องที่มาของเงิน ซึ่งการบริจาคเงินนั้น กฎหมายไม่ได้ห้าม 2. คุณสมบัติของผู้ให้ กรณีนี้ต้องแยกกับข้อกล่าวหาเรื่องการอำพรางหุ้นออกจากกัน เพราะข้อนี้จะดูถึงการเป็นบริษัทที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งบริษัทก็จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย จึงถือว่ามีคุณสมบัติสามารถบริจาคเงินได้ 3. ที่มาของเงินถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งประเด็นนี้ กกต.ไม่ได้มีหน้าที่ในการชี้ว่า เงินนั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ คนที่มีอำนาจชี้ตรงนี้ได้ คือ ศาล , สำนักงานป.ป.ง., สำนักงานป.ป.ส.
เป็นอันว่าข้อ 1 กับข้อ 2 นั้นผ่าน แต่ข้อ 3 ยังมีปัญหาที่ต้องรอการพิสูจน์ และ กกต.ก็ไม่มีหน้าที่ที่จะไปชี้ว่า เงินนั้นถูกกฎหมายหรือไม่
แหล่งข่าวจาก กกต. ยังบอกว่า ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสิน “ศักดิ์สยาม” เพราะเห็นว่าเป็นการอำพรางหุ้น แต่ก็ไม่ได้บอกว่าเงินนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนพรรคภูมิใจไทยจะรอด หรือไม่รอด ไม่รู้ แต่หากมีคนไปฟ้องต่อศาล หรือหน่วยงานที่มีอำนาจในการตัดสิน แล้วชี้ว่า เงินนั้นผิดกฎหมาย กกต. จึงจะสามารถดำเนินการต่อได้ เพราะ กกต. จะไม่เป็นคนไปฟ้องแทน เพราะกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจในการทำเช่นนั้น ส่วนการพิจารณาที่มองกันว่าช้า ก็เพราะรอความชัดเจนเงื่อนไขข้อที่ 3 นี้
ฟังการชี้แจงจาก “แหล่งข่าวระดับสูง” ในสำนักงานกกต.แล้ว ก็ลองจินตนาการกันดู ว่าคดียุบพรรคภูมิใจไทย ในมือของ “ชิดชอบคอนเนกชั่น” คนนี้ จะลงเอยอย่างไร