เมืองไทย 360 องศา
การเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ชินวัตร ในเวลานี้ เรียกว่าอยู่ในอาการร้อนรนในลักษณะ“พล่าน” ก็ได้ ถึงขั้นที่ว่า “ไม่ต้องเกรงใจใคร” กันอีกแล้ว เพราะหากพิจารณากันแบบทั่วไปแล้ว สถานะนักโทษที่อยู่ในช่วง“พักโทษ” อีกทั้งยังมีเงื่อนไขตามระเบียบมากมาย อย่างน้อยการรับประกันในเรื่อง “ป่วยขั้นวิกฤตอันตรายถึงชีวิต” แต่เท่าที่เห็น ทุกอย่างเป็นตรงกันข้าม
แม้ว่าคนทั่วไปรับรู้กันมาตั้งแต่วันแรกเมื่อตอนที่ออกมาจากเรือนจำ มานอนที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ จนกระทั่งมาถึงบ้านจันทร์ส่องหล้า ทุกอย่างมันคือ “ละครตบตา” ที่ร่วมด้วยช่วยกัน ในช่วงที่พวกเขามีอำนาจทุกอย่างอยู่ในมือ เพราะไม่มีใครเชื่อว่าเขาป่วย เพียงแต่ไม่ต้องการติดคุกแม้สักวันเดียว โดยมั่นใจว่าเขาทำได้ และเชื่อว่าเวลานี้ ไม่มีใครทำอะไรหรือขัดขวางเขาได้
อย่างไรก็ดี ผลจากพฤติกรรมและความเคลื่อนไหวดังกล่าว มองอีกมุมหนึ่งมันย่อมส่งผลลบมากกว่าผลบวก แน่นอนว่าเขาอาจจะนึกกระหยิ่มด้วยความภูมิใจว่า “ตัวเองแน่” กฎหมายทำอะไรไม่ได้ แต่ในมุมของสังคมที่จับจ้องมองอยู่ล้วนออกมาตรงกันว่า นี่คือ “อภิสิทธิ์ชน” หรือ “สองมาตรฐาน” หรือ คนไม่เท่ากัน
ขณะเดียวกัน ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป เด็กๆ ยุคใหม่ก็ไม่เคยซึมซับบรรยากาศในยุคของ นายทักษิณ ชินวัตร เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ส่วนคอการเมืองยุคก่อนนั้น เมื่อเวลาผ่านไปก็ได้เห็นนิสัยใจคอ หรืออาจจะเรียกแรงๆ ว่า “ธาตุแท้” ได้ชัดเจนมากขึ้น ทั้งคนเสื้อแดงที่เคลื่อนไหวสนับสนุนเขามาตลอด หลายคนต้องติดคุก บ้านแตกสาแหรกขาด คนพวกนี้ย่อมเข้าใจความรู้สึกได้ดี ลักษณะแบบนี้แหละ ที่ทำให้ในยุคนี้ พวกเขาที่หมายรวมถึงครอบครัว และพรรคเพื่อไทย มัน “ไม่ปัง” อย่างที่คิด ชนิดที่เรียกว่าผ่านยุคของเขาไปมากแล้ว
พิสูจน์ให้เห็นผ่านทางผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่ แม้จะส่งลูกสาวแบบทายาทสายตรง คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กลับต้องมาพ่ายแพ้ให้กับพรรคก้าวไกล ทั้งที่มาจากเครือข่ายเดียวกันด้วยซ้ำไป แต่ก็แพ้อย่างหมดรูป แพ้แม้กระทั่งในบ้านของตัวเองที่จังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงในภาคเหนือแทบทั้งภาค ส่วนกรุงเทพฯก็เกือบสูญพันธุ์
ที่เห็นชัดก็คือ เมื่อครั้งที่อ้างว่า จะไปไหว้บรรพบุรุษที่บ้านเกิดเมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา แต่ถูกมองว่ามีเจตนาเคลื่อนไหวเพื่อหวัง “ปลุกกระแส” หรือ “หยั่งกระแส” หลังจากเริ่มเห็นสัญญาณบางอย่างออกมาไม่สู้ดีนัก เริ่มเห็นภาวะ “ขาลง” ทั้งในระดับตัวบุคคล พรรคเพื่อไทย และรัฐบาล โดยเฉพาะสัญญาณที่เริ่มเห็นชัดเจนมาตั้งแต่การ “ข้ามขั้ว” ตั้งรัฐบาล ซึ่งตัวอย่างที่มีการล้อเลียนเสียดสี “อุ๊งอิ๊ง” ในโซเชียลฯ ที่บอกว่า “ปิดสวิตซ์ ส.ว. ปิดสวิตซ์ 3 ป.ฯ” กันอย่างสนุกสนาน และเมื่อย้อนกลับมาดูความเคลื่อนไหวที่จังหวัดเชียงใหม่ดังกล่าว ก็ปรากฏว่า กระแส “ไม่ปัง” อย่างที่คาด อาจะดูคนเยอะ แต่ระดับทักษิณ มันต้องมืดฟ้ามัวดิน ยิ่งนานนับยี่สิบปี ที่จากบ้านไป มันต้องมากันทั้งภาคเหนือ ก็ถือว่าผิดคาด ยิ่งเจอแย่งซีนจากพรรคก้าวไกล ที่ยกขบวนไปดับไฟป่า มันก็ยิ่งลดทอนลงไปอีก
แน่นอนว่า สำหรับคอการเมืองย่อมมองออกเช่นกันว่า หลังจากประเมินสถานการณ์แล้วมันกำลังเริ่มขาลง ไม่เปรี้ยงปร้างเหมือนเมื่อก่อน ก็จำเป็นต้องขยับตัวแรงขึ้น อย่างน้อยก็เพื่อเรียกความมั่นใจจาก ส.ส.และผู้สนับสนุนรัฐบาล และพรรคเพื่อไทย ว่าเขาลงมาเต็มตัวแล้ว ซึ่งก็เป็นการ “ขยับตัวเร็ว” กว่าปกติที่ควรจะเป็น เพราะตามปกติอยู่ในช่วง “พักโทษ” มันก็ต้องสงบเสงี่ยม ให้ดูแนบเนียนสักหน่อย แต่เมื่อเห็นท่าทางการเคลื่อนไหวที่ออกมาเหมือนกับว่า “เขาไม่แคร์” แล้ว อาจเป็นเพราะด้วยสถานการณ์ที่ “รอไม่ได้” หากทอดเวลาออกไปจะยิ่งเสียหาย มีผลกระทบกับอนาคตข้างหน้าทั้งขบวน
ล่าสุดผลโพลออกมายืนยันว่า ทายาทการเมืองของเขา อย่าง “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้รับความนิยมแค่ร้อยละ 6 เท่านั้น หรือนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ได้รับความนิยมแค่ ร้อยละ 17 ขณะที่พรรคคู่แข่งอย่าง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้รับความนิยมไปถึงร้อยละ 42 เรียกว่าทิ้งขาด ซึ่งในเรื่องของควานิยมในตัวพรรค ผลก็ออกมาไม่ต่างกัน
ทำให้ต้องออกสังคมแบบรัวๆ เพราะเมื่อวันก่อนไปตัดผมย่านสีลม และมีการทักทาย ร่วมถ่ายรูปกับบรรดาแฟนคลับ เหมือนกับการแสดงให้เห็นว่า เขากำลังออกสังคมอย่างเปิดเผยแล้ว และล่าสุด ยังมีกำหนดเข้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งแน่นอนว่า ต้องเลี่ยงข้อกฎหมายอยู่แล้ว รวมถึงปฏิเสธว่า ไม่ได้ครอบงำพรรค
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเดินทางเข้าพรรคเพื่อไทย เพื่อพบปะกับ สส.ในวันที่ 26 มีนาคม นี้ มีนัยยะอะไรหรือไม่ว่า ไม่มีนัยยะอะไร ท่านเป็นบุคคลที่สมาชิกพรรคเคารพ และชื่นชมในความดี เพราะตอนที่เป็นนายกฯ ได้สร้างความรู้สึกประทับใจให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก สามารถทำงานแก้วิกฤตของประเทศในหลายเรื่อง ทั้งวิกฤตต้มยำกุ้ง โรคระบาด เป็นธรรมดาที่จะมีทั้งคนรัก คนชัง คนชอบ ใครที่คิดถึง ก็อยากไปเยี่ยมไปหา เป็นเรื่องธรรมดาเพราะใจคนห้ามยาก การจะไปพบที่บ้านซอยก็คับแคบ ในขณะที่ทุกคนอยากไปเยี่ยม ตนก็อยากไปเยี่ยม เพราะเป็นผู้บังคับบัญชาเก่า แต่ถ้าจะเข้าไปเฉพาะแค่สื่อ ก็มีจำนวนมาก ชาวบ้านก็ลำบาก ถ้าแวะมาเยี่ยมที่พรรคในวันที่มีประชุม ก็น่าจะสะดวก แต่คิดว่าไม่น่าจะเข้ามาบ่อย เพราะไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการภายในพรรค
ผู้สื่อข่าวถามว่า การมานัดที่พรรค สะท้อนว่าเป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริงของพรรคเพื่อไทย หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ต้องถามว่า สถานที่อื่นหรือโรงแรมที่จะนัดผู้คนเป็นร้อยคน หรือจะมากกว่านั้น จะยิ่งถูกมองว่าเป็นพิเศษ การไปที่พรรคถือเป็นเรื่องปกติเพราะเป็นองค์กรสาธารณะ ใครจะเดินขึ้นไปเราไม่เคยห้าม ไม่ว่าจะเป็นผู้สื่อข่าวหรือประชาชนที่ทั้งเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็สามารถเดินทางเข้าไปได้ การเลือกไปที่พรรคเพื่อที่จะไม่ให้วุ่นวายกับประชาชน
เมื่อถามว่า การมาที่พรรคจะสั่นคลอนอำนาจของนายกรัฐมนตรี หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ยืนยันว่าอำนาจนายกฯ ไม่ได้สั่นคลอน เพราะนายกฯ ตั้งใจทำงาน บุกเบิกเรื่องต่างๆ มากมาย และตราบใดที่พบประชาชนแก้ไขปัญหาต่างๆ ก็ไม่มีอะไรมาสั่นคลอนได้ ส่วนรัฐมนตรีที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ก็เคารพนับถือเป็นผู้นำ ไม่มีอะไรมาสั่นคลอนพวกเราได้
นั่นคือ คำพูดของคนในพรรคเพื่อไทย และถือเป็นคนใกล้ชิดของ นายทักษิณ ชินวัตร แต่จะมีกี่คนจะเชื่อตามนี้ เพราะสำหรับคอการเมือง และคนที่ติดตามมาตั้งแต่ต้น ย่อมมองออกว่า การเข้าพรรคเพื่อไทยคราวนี้เหมือนกับการ “เปิดหน้าชัดที่สุด” สำหรับเขาแล้ว เพราะไม่ต่างจากการ “เข้าบริษัท” เพื่อปลุกขวัญ ปลุกเร้า และสร้างความมั่นใจให้กับพนักงาน ในช่วงที่ผลประกอบการ และเครดิตกำลังถดถอยหรือย่ำแย่ ทำให้เจ้าของที่เรียกว่า “ผู้ก่อตั้ง” ต้องออกโรงเอง แบบที่เรียกว่า “นั่งไม่ติด” จนออกอาการ “พล่าน”กันเลยทีเดียว !!