เมืองไทย 360 องศา
แม้ว่าที่ผ่านมา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะยืนว่า “ยังไม่มี” การปรับคณะรัฐมนตรีในช่วงนี้ แต่ล่าสุดก็ยังมีความเคลื่อนไหวที่ทำให้เห็นว่า น่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีในเร็วๆนี้ ทั้งจากพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล รวมไปถึงพรรคร่วมรัฐบาลอย่าง พรรคภูมิใจไทย และพรรคพลังประชารัฐ
เมื่อวันที่ 21 มีนาคม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์ถึงความเคลื่อนไหวในการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ยังไม่ได้คุยหรือหารือในเรื่องนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้ส่งสัญญาณอะไร และตนมองว่าการปรับคณะรัฐมนตรี ในรัฐบาลผสม ทางหัวหน้ารัฐบาล ก็ต้องให้ให้เกียรติกับทางพรรคร่วมรัฐบาลอยู่แล้ว ถ้าท่านจะปรับครม.เมื่อไหร่ ก็ต้องแจ้ง รวมถึงพิจารณาว่าในการทำหน้าที่ของพวกเราจะมีการปรับอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับสัญญาณอะไร
ถามว่า มองว่าการปรับครม.ครั้งนี้ จะถือเป็นการพิสูจน์ผลงานรัฐมนตรีหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า มองว่ารัฐมนตรีทุกคนทำงานหนักมาก อย่าไปวัดว่าคนที่ทำงานหนัก คือคนที่ออกข่าวบ่อย บางคนพูดไม่เก่งไม่อยากพูดแค่ก้มหน้าก้มตาทำงาน
ส่วนเรื่องที่ว่า ทางพรรคภูมิใจไทย ได้มีการตรวจการบ้านรัฐมนตรีของพรรคอย่างไรบ้าง นายอนุทิน กล่าวว่า เราประเมินทุกวัน ซึ่งในส่วนของรัฐมนตรีของพรรค เราได้มีการแจ้งตั้งแต่วันที่เข้ามาแล้วว่า เราวัดกันที่ผลงาน ซึ่งทุกคนจะต้องทุ่มเทกับงานที่ได้รับมอบหมาย และต้องทุ่มเทให้กับพรรค ในการลงไปช่วยสส.ลงพื้นที่ ถ้าใครไม่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวก็จะถูกพิจารณา โดยในวันที่ 24 มี.ค.นี้ ก็จะมีการประชุมใหญ่พรรค และก็จะมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะเป็นอีกบริบทหนึ่งก็จะมีคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงาน เราจะต้องเดินหน้าและปรับปรุงการทำงานทุกวัน
หากเริ่มโฟกัสที่พรรคภูมิใจไทยก่อน แม้ว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคจะกล่าวว่า ยังไม่ได้รับสัญญาณ การปรับคณะรัฐมนตรี แต่คำพูดบางตอนที่บอกว่า “พรรคเรามีการประเมินทุกวัน ถ้าใครไม่เข้าเกณฑ์ ก็จถูกพิจารณา และวันที่ 24 มีนาคมนี้ ก็จะมีการประชุมใหญ่ของพรรค ก็จะมีการเปลี่ยนแปลง” แม้ว่าอาจจะยังไม่ชัดเต็มร้อยว่า การเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้นจะออกมาแบบไหน แต่สำหรับพรรคนี้ย่อมเป็นไฟต์บังคับอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ต้องเปลี่ยนแปลงตำแหน่งเลขาธิการพรรค จาก นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ที่ต้องคดีจนต้องออกจากการเมือง จากกรณีถือหุ้นโดยมิชอบ
อย่างไรก็ดี สำหรับโครงสร้างของพรรคภูมิใจไทย การเปลี่ยนแปลงก็น่าจะวนอยู่เครืองข่าย “ชิดชอบ” จากจังหวัดบุรีรัมย์อยู่ดี และจากคำพูดข้างต้นของนายอนุทิน ที่แย้มออกมาว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงโดยมีคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงาน ซึ่งก็สอดรับกับข่าวที่ก่อนหน้านี้ว่า จะมี คนรุ่นใหม่เข้ามาทำงาน ทำให้ค่อนข้างมั่นใจว่า เลขาธิการพรรคภูมิใจไทยคนใหม่ น่าจะเป็น นายไชยชนก ชิดชอบ ลูกชายคนโตของนายเนวิน ชิดชอบ ที่เวลานี้เป็นส.ส.บุรีรัมย์ เขตสอง ซึ่งเมื่อพิจารณาจากโปรไฟล์แล้วไม่ธรรมดา มีการศึกษาดี อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากกระแสคนรุ่นใหม่ ด้วยอายุเกิน 35 ปี มันก็พอเข้าเกณฑ์ และสามารถสร้างจุดขายได้ เมื่อเทียบกับพรรคอื่น เช่น เพื่อไทย ที่ดัน “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร มาเป็นหัวหน้าพรรค หรือจะสู้กับพรรคก้าวไกลในภายหน้า นี่ว่ากันเฉพาะการคาดการณ์ในพรรคภูมิใจไทยเฉพาะตำแหน่งสำคัญ
ขณะเดียวกัน สำหรับตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น ก็มีความเป็นไปได้ที่อาจต้องมีการปรับเปลี่ยนกัน ในลักษณะ “แลกกระทรวง” กับพรรคเพื่อไทย ซึ่งตามรายงานบอกว่า พรรคเพื่อไทยอยากขอคืนตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จาก นายอนุทิน เพื่อแลกกับกระทรวงสาธารณสุข รวมไปถึงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ ที่อาจโยกไปเป็นรัฐมนตรีท่องเที่ยวฯ เป็นต้น หรือแม้แต่กระทรวงศึกษาธิการ ที่ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ นั่งว่าการอยู่ก็อาจมีการเปลี่ยนแปลง
ส่วนอีกพรรคหนึ่งที่น่าจับตาเช่นเดียวกันก็คือ พลังประชารัฐ ที่ออกอาการทะแม่ง อยู่ในภาวะอึมครึมอยู่ภายใน ระหว่างสาย “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เลขาธิการพรรค โดยที่ผ่านมาได้เห็นร่องรอย “ขบเหลี่ยม” กันระหว่าง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กับ ร.อ.ธรรมนัส ที่เห็นชัดเจนก็มาจากเรื่อง ส.ป.ก.ที่เขาใหญ่ นอกจากนี้ยังมีท่าทีมึนตึงกับกลุ่มของนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข รองหัวหน้าพรรค กับ “ผู้กองธรรมนัส” ซึ่งท่าที นายสันติ ไม่ค่อยแฮปปี้กับเก้าอี้ในกระทรวงสาธารสุขเท่าใดนัก โดยอยากโยกไปนั่งช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ มากกว่า
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวภายในพรรคพลังประชารัฐในช่วงเวลานี้ จะเห็นว่า พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคที่กลับมาคึกคักอีกครั้ง มีการเรียกประชุมสมาชิกพรรคอย่างสม่ำเสมอ มีการประกาศย้ำเรื่อง “พรรคอนุรักษ์นิยมทันสมัย” มีการปรับปรุงการประชาสัมพันธ์พรรค มีการเดินสายจัดกิจกรรมสัญจรในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ระดับแกนนำพรรคคนอื่นๆ ก็ยังอยู่ครบ
แต่ที่น่าจับตาก็คือ ในพิธีบวงสรวงอัญเชิญท่านท้าวมหาพรหม ประดิษฐานที่บริเวณด้านหน้าอาคารที่ทำการพรรค พปชร. โดยมี พล.อ.ประวิตร เป็นประธาน มีพลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรค นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะรองหัวหน้าพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค นางสาวตรีนุช เทียนทอง รองหัวหน้าพรรค พลเอกกฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ นายทะเบียนพรรค นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรค รวมถึงกรรมการบริหารพรรค และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง แต่ขาด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า
ขณะที่พรรคเพื่อไทย ในฐานะพรรคแกนนำ ก็กำลังถูกมองว่ากำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น โดยเฉพาะหลังจากผ่านร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ไปแล้ว และหลังจาก ส.ว.ชุดนี้หมดวาระ ในเดือนพฤษภาคม มีการโฟกัสไปที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กันเลยทีเดียว แม้ว่าจะยังไม่ชัวร์ เพราะหลายคนมองว่าหากจะเปลี่ยนก็น่าผ่านหนึ่งปีไปก่อน หรือไม่ก็ต้องรอดูความชัดเจนจากโครงการ “ดิจิทัล วอลเล็ต เสียก่อน
อย่างไรก็ดี สำหรับการปรับคณะรัฐมนตรี น่าจะเป็นไปได้มากกว่า หากพิจารณากันตามหลักการทำงานของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นเจ้าของพรรคตัวจริง ที่เมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวด์แล้ว ส่วนใหญ่จะมีการปรับกันทุกๆ 6 เดือน ที่น่าจับตาก็คือ กระทรวงการคลัง ที่นายเศรษฐา ทวีสิน นั่งควบอยู่ อาจต้องปล่อยมือให้คนอื่นเข้ามาแทน เพื่อจะได้ขับเคลื่อนได้เต็มที่ รวมไปถึงบางตำแหน่ง ที่ต้องสับเปลี่ยนเช่นเดียวกัน เมื่อครบเวลาสำหรับการตอบแทนกันไปแล้ว ทำให้จับตามองไปที่ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ของ นายเกรียง กัลป์ตินันท์ เป็นต้น รวมไปถึงอีกหลายตำแหน่ง ที่อาจจะต้องมีสับเปลี่ยนแลกกระทรวงกับพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ อีกทั้งเพื่อความเหมาะสม กระฉับกระเฉง ในการขับเคลื่อนนโยบายที่เวลานี้ถูกมองว่ายังเดินหน้าได้ไม่เต็มที่ ยังไม่มีผลงานที่เข้าตา
ดังนั้นหากพิจารณากันตามรูปการณ์และไทม์ไลน์แล้ว มันก็น่าจะถึงเวลาแล้วเหมือนกันที่จะต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรีกันใหม่ ซึ่งหากมองกันภายในก็จะเริ่มเห็นการเคลื่อนไหวกันชัดเจนมากขึ้น อย่างน้อยเท่าที่เห็นก็มีการหลายพรรคทั้งเพื่อไทย พลังประชารัฐ และภูมิใจไทย ซึ่งหลังผ่านงบประมาณปี 67 ไปแล้ว นั่นแหละอย่ากระพริบตา !!