เมืองไทย 360 องศา
มติเอกฉันท์ของศาลรัฐธรรมนูญล่าสุด เมื่อวันที่ 20 มีนาคม ได้ตีตกคำร้องที่ระบุว่า พรรคเพื่อไทย สนับสนุนการที่อาจนำไปสู่การยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และยังเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ความหมายโดยสรุปก็คือ พรรคเพื่อไทยรอดพ้นจากคดียุบพรรคไปเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ มติเอกฉันท์รับคำร้องดังกล่าว เนื่องมาจากกรณี นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่า การกระทำของพรรคเพื่อไทย ตามคำแถลงการณ์ของ นายชัยเกษม นิติสิริ เมื่อวันที่ 31 ต.ค.64 เกี่ยวกับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งมีตราพรรคเพื่อไทย อยู่ด้วย มีลักษณะเป็นการสนับสนุนการกระทำที่อาจนำไปสู่การยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในลักษณะที่ไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบ และนายเรืองไกรอ้าง ตรวจสอบพยานหลักฐานเพิ่มเติม พบว่าพรรคเพื่อไทยยังคงไว้ซึ่งคำแถลงการณ์ของนายชัยเกษม ในสื่อโซเชียลของผู้ถูกร้องจนถึงปัจจุบัน เป็นการใช้สิทธิ หรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง
โดยศาลฯ เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องปรากฏว่า นายชัยเกษม นิติสิริ ไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค และไม่ได้เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนพรรคเพื่อไทย และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นได้ว่าพรรคเพื่อไทย มีความมุ่งหมายหรือการกระทำใดๆ ที่น่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง
แน่นอนว่า สำหรับพรรคเพื่อไทยถือว่าข่าวนี้เป็นข่าวดีในรอบหลายสัปดาห์เลยทีเดียว แม้ว่าที่ผ่านมาหลายคนจะมองว่า พรรคเพื่อไทยน่าจะรอดอยู่แล้ว เพราะอย่างน้อย พฤติกรรมยังไม่ชัดเจน ไม่ได้เคลื่อนไหวเกี่ยวกับ มาตรา 112 อย่างจริงจัง รวมถึงพฤติกรรมของระดับแกนนำที่แสดงออกในทางสาธารณะ หรือประเภทที่เขียนออกมาเป็นนโยบายพรรค และใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง ก็ยังไม่ถึงขั้นชัด อาจจะมีบ้างที่มีบางคนในลักษณะพูดจาโฉบเฉี่ยว แต่ก็อย่างว่า มันก็อาจทำให้ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ ยกคำร้องหรือเปล่า
ขณะเดียวกัน ทำให้เวลานี้มีเพียงพรรคก้าวไกลที่กำลังอยู่ในภาวะวิกฤต ที่เสี่ยงต่อการถูกยุบพรรคมากที่สุด ซึ่งเวลานี้ หากพิจารณาจากท่าทีแล้วเหมือนกับว่าพวกเขารับรู้ถึงสถานการณ์ดังกล่าวแล้ว ซึ่งอาจมีการรับรู้ล่วงหน้ามานานหลายเดือนแล้ว จนเชื่อว่ามีการเตรียมพรรคใหม่ไว้รองรับ
แม้ว่า เมื่อวันที่ 20 มีนาคม มีรายงานระบุว่า ศาลรัฐธรรมนูญ ยังไม่มีการพิจารณาคำร้องที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกลและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคตามพ.ร.ป.ว่าพรรคการเมืองมาตรา92วรรคหนึ่ง(1)และ(2)จากเหตุมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคก้าวไกลกระทำการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยศาลรัฐธรรมนูญแจ้งว่า เนื่องจากยังมีเอกสารบางรายการไม่ชัดเจน จึงให้ กกต.ผู้ร้องส่งเอกสารฉบับที่ชัดเจนต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในกำหนดระยะเวลา 7 วันนับแต่วันได้รับหนังสือ
อย่างไรก็ดี นายแสวง บุญมี เลขาธิการกกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง กล่าวกรณีศาลรัฐธรรมนูญยังไม่พิจารณาคำร้องยุบพรรคก้าวไกล เนื่องจากมีเอกสารบางรายการที่กกต.ส่งไปไม่ชัดเจน ว่า ได้ตรวจสอบแล้วว่าเอกสารที่ไม่ชัดเจนดังกล่าวเป็นเอกสารประกอบคำร้องที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ยื่นร้องต่อกกต.ขอให้พิจารณายุบพรรคก้าวไกล โดยกกต เห็นว่าคำร้องของเรืองไกร และเอกสารประกอบดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของสำนวนยุบพรรคก้าวไกลที่กกต.พิจารณาและมีมติจึงได้ส่งเอกสารทั้ง 2 ส่วนนี้ไปพร้อมกับคำร้องยุบพรรคที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วย เมื่อทางศาลรัฐธรรมนูญให้กกต.ดำเนินการส่งเอกสารที่ชัดเจนภายใน 7 วัน ทางสำนักงานฯก็จะเร่งดำเนินการโดยเร็ว
เอาเป็นว่า นั่นเป็นการยืดเวลาออกไปเท่านั้น แต่หากพิจารณาถึงความเสี่ยง เชื่อว่าหลายคนก็มั่นใจว่า “เสี่ยงยุบสูงมาก” ซึ่งคนในพรรคก้าวไกลก็น่ารับรู้กันดี
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้หลังจากนี้ หากมีการยุบพรรคก้าวไกลจริง จะมีใครบ้างที่จะรอด จนกลายเป็นว่าได้เวลาของพวก “แถวสาม” ที่จะมานำพรรค และจะร้อนแรงเติบโตไปกว่าในยุคของพวก “แถวหนึ่ง” เมื่อครั้งยังเป็นพรรคอนาคตใหม่ จนมาถึงยุคปัจจุบันที่ยังเป็นพรรคก้าวไกลในตอนนี้ ซึ่งหลายคนก็ไม่เชื่อว่าจะ “ปัง” กว่าเดิม หรือตรงกันข้ามจะถดถอยกว่าเดิมด้วยซ้ำไป
โดยในจำนวนนั้นมี ผศ.ดร.สุวิชา เป้าอารีย์ ผอ.ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล ระบุว่า หากพรรคก้าวไกลถูกยุบ จะปั้นหัวหน้าพรรคคนใหม่ แทนคุณพิธานั้น ไม่ง่ายเลย ทำให้ น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ โพสต์ข้อความตอบโต้ว่า ตอนยุบอนาคตใหม่ นักวิเคราะห์ก็พูดกันแบบนี้ ไม่มี ธนาธร (จึงรุ่งเรืองกิจ)ก้าวไกลคงไม่รอด 4 ปีที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าคนเลือกพรรคที่แนวทาง จุดยืนทางการเมือง และนโยบาย ทัศนคติแบบที่มองว่าพรรคก้าวไกลชนะเพราะปั่นกระแสขึ้นมา เพราะคนเห่อหัวหน้าพรรค ไม่ใช่การดูถูกพรรค แต่ดูถูกประชาชนผู้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง และหากก้าวไกลชนะเพราะปั่นกระแส ทำไมกระแสแลนด์สไลด์ที่แรงมาก จึงไม่สามารถนำพาเพื่อไทยให้ชนะการเลือกตั้งได้
แน่นอนว่า จากคำพูดดังกล่าวมันก็มีส่วนถูกต้อง แต่ขณะเดียวกันที่ต้องพิจารณากันก็คือ “สถานการณ์” และบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ต้องไม่ลืมว่าเวลานี้บรรยากาศ “เผด็จการยุค สามป.” ได้เจือจางลงไปแล้ว มีแต่บรรยากาศประชาธิปไตยเข้ามาแทนที่ ประกอบกับหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้ชัดว่า พรรคก้าวไกลมีเจตนาล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีพฤติกรรมบ่อนเซาะกัดกร่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ หมกหมุ่นอยู่กับเรื่อง มาตรา 112 จนเชื่อว่ามีคนที่เคยสนับสนุนต้องถอยออกมา รวมไปถึงพฤติกรมอื้อฉาวมากมาย จนทำให้ “ไม่แรง” อย่างที่คาดเอาไว้
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจาก “แถวสาม” ที่คาดว่าจะขึ้นมาแทนที่นั้น ก็มีการมองกันว่า ไม่ได้โดดเด่นหรือร้อนแรงเท่ากับพวกแถวหนึ่งหรือ แถวสองก่อนหน้านี้
ซึ่งหากย้อนกลับไปกันในแบบใกล้เคียงกับยุคปัจจุบันที่สุดสำหรับคณะกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล หากมีการยุบพรรคและถูกตัดสิทธิ์การเมืองมีด้วยกัน 6 คน ในช่วงที่เกิดเหตุ เช่น ช่วงที่พรรคเสนอแก้ไข มาตรา 112 ตามคำร้อง ไม่ใช่กรรรมการบริหาพรรคในยุคปัจจุบัน ก็คือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค สมชาย ฝั่งชลจิตร อภิชาต ศิริสุนทร ปัจจุบันเป็นเลขาธิการพรรค น.ส.เบญจา แสงจันทร์ นายสุเทพ อู่อ้น ซึ่งก็หมายถึงพวก “แถวสอง” นั่นเอง
ขณะที่ “แถวสาม” ที่คาดว่าจะขึ้นมาแทน น่าจะนำโดย น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค นายรังสิมันต์ โรม นายพริษฐ์ วัชรสินธุ นายศุภณัฐ มีนชัยนันท์ น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ นายชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร เป็นต้น
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากตัวบุคคลที่คาดว่าจะขึ้นมาแทนดังกล่าวก็ยังถือว่าไม่ได้โดดเด่นนัก เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ และหากบอกว่าไปตาม “กระแส” มันก็ไม่น่าจะใช่นัก หลังจากถูกยุบพรรคในเรื่อง มาตรา 112 กลายเป็นพรรคที่มีพฤติกรรมล้มเจ้า ที่ส่วนทางกับความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ แต่ก็ต้องรอดูกันก็ได้ว่าจะออกทางไหน !!