ครม.เห็นชอบหลักการ โครงการกลุ่ม จว.เหนือ 145 ลบ.สั่ง ก.ท่องเที่ยว ตั้งท่องเที่ยว จว.ศึกษาสร้างสนามบินพะเยา พร้อมบูรณาการผลิตลำไย ต้น-กลาง-ปลายบ้ำ สร้างสมดุลตลาด เดินหน้าลงทุน-ส่งเสริมการค้าไทย-ปท.กลุ่มแอฟริกา หลังพบศักบภาพ ศก.สูง
เมื่อเวลา 11.30 น.ที่มหาวิทยาลัยพะเยา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2567 ว่า ที่ประชุมเห็นชอบการปฏิบัติราชการของครม.ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 เชียงราย น่าน พะเยา แพร่ โดยเห็นชอบในหลักการของโครงการกลุ่มจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียง โครงการกรอบวงเงิน 150 ล้านบาท และเห็นชอบในหลักการที่เสนอจากภาคเอกชน 4 โครงการ กรอบวงเงิน 145 ล้านบาท โดยในที่ประชุมมีข้อหารือให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เร่งจัดทำสำนักงานท่องเที่ยวประจำจังหวัด และศึกษาการประกาศให้จังหวัดพะเยาเป็นพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างสนามบินพะเยา โดยต้องพยายามตั้งสำนักงานท่องเที่ยวประจำจังหวัดพะเยาให้ได้ภายในไตรมาส 4
รวมทั้ง สั่งการให้กรมทางหลวง เร่งประสานกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ทำเรื่องขอผ่อนผันมติครม.ที่เกี่ยวกับกับการขยายเส้นทางจราจรบริเวณจุดผ่านแดนถาวรบ้านฮวก จ.พะเยา และการใช้ประโยชน์ในพื้นทื่คุณภาพลุ่มน้ำชั้น 1A เพื่อส่งเสริมการค้าชายแดนระหว่างประเทศไทย-ลาว ที่ปัจจุบันมียอดสั่งซื้อวัวเป็นหลักแสนคัว
นายกฯ กล่าวว่า เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้เพาะปลูกลำไย ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจ ขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานต่างๆบูรณาการผลิตลำไยตั้งต้น กลาง ปลายน้ำ เพื่อให้ปริมาณการผลิตสมดุลกับความต้องการตลาด ผลผลิตมีคุณภาพสูงมีการแปรรูปหลากหลาย ซึ่งจะทำให้ราคาลำไยมีประสิทธิภาพ และไม่เกิดภาวะล้นตลาด
นอกจากนี้ ตนสั่งการให้กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนและการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศไทยและกลุ่มประเทศแอฟริกา ที่มีการเติมโตของความนิยมสูง เช่น ไนจีเรีย ซิมบับเว ซึ่งเป็นประเทศมีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง และมีแหล่งพลังงานด้วย
อย่างไรก็ตาม จากการที่ตนไปตรวจเยี่ยมศูนย์การเรียนรู้ทีเค พาร์ค ซึ่งสามารถเป็นแหล่งเรียนรู้และสร้างอาชีพให้เยาชนได้ มีการบ่มเพาะองค์ความรู้ ตนขอสั่งการให้สำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้(องค์กรมหาชน) และ กระทรวงมหาดไทย เร่งแก้กฎเพื่อให้เหมาะสมกับภารกิจและส่งเสริมศักยภาพของเยาวชนต่อไป