เมืองไทย 360 องศา
ก็ต้องบอกว่า “เริ่มมันแล้วครับพี่น้อง” สำหรับ “ศึกสองขั้วใหม่” ระหว่างพรรคก้าวไกล กับพรรคเพื่อไทย หลังจากเกิดอาการ “เหยียบเท้า” กันที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ในช่วงที่นายทักษิณ ชินวัตร นักโทษที่อยู่ระหว่างการพักโทษ กลับบ้านเกิดที่นั่น เมื่อวันที่ 14-15 มีนาคม รวมไปถึง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รวมไปถึงบรรดารัฐมนตรีไปออกรวมกันอยู่ที่นั่น ก่อนต่อไปจังหวัดพะเยา เพื่อประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ขณะที่อีกฝ่ายคือ พรรคก้าวไกล ที่นำโดย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็ลงพื้นที่เดียวกันในช่วงเวลาเดียวกัน โดยใช้ “ไฟป่า” ช่วงชิงแต้มต่อทางการเมือง
ก็อย่างที่รู้กันทั่วว่า การลงทุนขึ้นเหนือไปที่บ้านเกิด จังหวัดเชียงใหม่คราวนี้ ของนายทักษิณ ชินวัตร เป้าหมายเป็นเรื่องการเมืองล้วนๆ มีเจตนาเพื่อ“เบ่งบารมี” หวังฟื้นฟูความเชื่อมั่น ความศรัทธาให้กับพรรคเพื่อไทยให้กลับมาอีกครั้ง หลังจากพลาดท่าเสียทีให้กับพรรคก้าวไกล ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ถือว่า“เสียหาย” อย่างมาก เพราะที่เชียงใหม่นี่แหละที่เกือบแพ้ทุกเขตเลือกตั้งที่ชนะมาได้แค่ 2 เขต ก็ได้มาแบบเฉียดฉิว
แม้ว่าก้าวไกลจะว่าไปแล้ว คล้ายๆ กับการเกิดมาจาก “มดลูกเดียวกัน” ด้วยซ้ำไป ทั้งระดับแกนนำ ผู้ก่อตั้งพรรคก็แทบไม่ต่างจาก“เด็กในบ้าน” เชื่อมโยงกันมาตั้งแต่ รุ่นอา รุ่นลุง และก็เคยมีฐานเสียงเดียวกันมาก่อน แต่มาถึงวันนี้เมื่อเส้นทางข้างหน้าเริ่มแคบลงไปเรื่อยๆ ดังนั้นแม้ว่าจะเคยมี “ดีลลับที่ฮ่องกง” มาก่อน ระหว่างเจ้าของพรรค แต่นาทีนี้ถือว่าคนละเรื่องกันแล้ว ถึงเวลาต้อง“ทำศึก” กันแล้ว เพื่อเป้าหมายในทางการเมือง
หากสังเกต จะเห็นการปะทะกันระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายอยู่ที่เชียงใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ชินวัตร พร้อมกับรื้อฟื้นคนเสื้อแดง มีการออกไอเดียเรื่องแก้ปัญหาไฟป่า เช่น แนะนำให้ยกเลิกนำเข้าข้าวโพดจากประเทศเพื่อนบ้าน หากยังไม่หยุดเผา ซึ่งฝ่ายก้าวไกล ก็เกทับว่าเคยเสนอเรื่องนี้มานานแล้ว จากนั้นก็เห็นแอ็กชั่นของ นายพิธา ที่มาพร้อมกับ ส.ส.เชียงใหม่ ของพรรคก้าวไกลลุยดับไฟ พร้อมกับเสนอให้ประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ พร้อมกับเหน็บแนมว่า สาเหตุที่ยังไม่ประกาศ เพราะงบประมาณไม่มี เป็นต้น
ขณะพรรคเพื่อไทย และรัฐบาล ก็จวกแหลกหาว่า ฝ่ายค้าน“ล้ำเส้น” แบบมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ พร้อมกับชี้แจงว่า สาเหตุที่ไม่ประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ เนื่องจากเกรงกระทบการท่องเที่ยว มีผลกับการประกันภัย ที่ไม่ครอบคลุมในเรื่องดังกล่าว อะไรแบบนี้
แต่ภาพที่ออกมามองเห็นชัดเจนว่า นี่คือ “การเมือง” แบบเต็มร้อย ที่ต่างฝ่ายต่างงัดออกมาบลั๊ฟกันแหลกลาญ แต่ขณะเดียวกัน ยังมีภาพต่อเนื่องยิ่งเห็นภาพชัดขึ้นไปอีกว่า “ศึกสองพรรค” ชัดเจน มีการดาหน้าออกมาจากทั้งสองฝ่าย ที่น่าจับตา ก็คือสมาชิกพรรคก้าวไกล และกลุ่มผู้สนับสนุนต่างออกมารุมถล่มทั้งรัฐบาล และนายทักษิณ ชินวัตร อย่างรุนแรง แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เรียกว่า“ไม่เกรงใจ”กันแล้ว
เริ่มจาก นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต ส.ส.พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กว่า ”แทนที่ ทักษิณ จะใช้โอกาสเป็นรัฐบาลผลักดัน กม.นิรโทษกรรม ผ่าน กม.เสร็จ ได้รับอิสรภาพ พร้อมกับทุกคนที่ไม่ได้รับความยุติธรรมจากคดีความทางการเมือง ผลการเลือกตั้ง ฝั่งปชต.คะแนนรวมกันชนะถล่มทลาย สะท้อนเจตนารมณ์ชัดแจ้งของพี่น้อง ปชช. ต้องการสั่งสอนคนทำรัฐประหารและสืบทอดอำนาจ ประเทศสูญเสียโอกาสสำคัญ สำหรับการเปลี่ยนแปลง ความหวังของผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งถูกบดขยี้ทำลายด้วยการตระบัดสัตย์ข้ามขั้ว ด้วยดีลเห็นแก่ตัวของทักษิณ ฉุดพัฒนาการ ปชต.ของประเทศถอยหลังลงคลอง เสร็จ กลับมาติดคุกทิพย์ตามดีล เย้ยหยันทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรม
เสร็จแล้วไม่อยู่บ้านเลี้ยงหลานตามที่คุย มาเดินสายขอความเข้าใจเห็นใจคนแก่อายุ 75 ใครไม่ชอบผมก็ต่างคนต่างอยู่
“เดินสายไม่เลี้ยงหลานอยู่บ้าน ดูทรงแล้วไม่ปลง ออกไปทางมักใหญ่ใฝ่สูง อยากเป็นสมเด็จ แบบฮุนเซน”
ตามมาด้วย นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสการวัดความนิยมระหว่างพรรคเพื่อไทย กับพรรคก้าวไกล ว่า ไม่แน่ใจว่าสังคมมองกรณีของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อย่างไร แต่ส่วนตัวตนถูกสอนมาจากมหาวิทยาลัย และสถาบันการศึกษาว่า การโกหกเป็นเรื่องไม่สมควรทำ ถ้าในทางพุทธ ก็ต้องบอกว่าผิดศีล และเชื่อว่าทุกศาสนาก็กำหนดในลักษณะนี้ด้วย จึงไม่แน่ใจว่าสังคมไทยจะยอมรับได้แค่ไหน เมื่อเห็นนายทักษิณ บางวันก็มีเฝือกดามคอ บางวันก็ไม่มี บางวันก็ถอดเฝือกคอออกให้เห็น สรุปแล้ว นายทักษิณเป็นบุคคลที่ป่วยร้ายแรงหรือไม่ หรือป่วยมากกว่านักโทษคดีการเมืองคนอื่นหรือไม่ ต้องยอมรับว่าเราไม่เห็นเอกสารทางการแพทย์ ที่จะออกมายืนยันได้ เราจึงสงสัย
ส่วนการชี้แจงของหน่วยงานราชการ เกี่ยวกับอาการป่วยของนายทักษิณ ก็ไม่สามารถทำให้สังคมสิ้นข้อสงสัยได้ พร้อมยกตัวอย่างที่โฆษกพรรคเพื่อไทย ออกมาแถลงอาการของนายทักษิณ ว่าเป็นเส้นเอ็นเปื่อยยุ่ย เช่นเดียวกับอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่มาระบุว่า นายทักษิณ ต้องพักรักษาตัวเป็นเวลานาน แต่สุดท้ายนายทักษิณ ก็ดูแข็งแรงดีในการลงพื้นที่ สามารถนั่งยองคุยกับประชาชนที่มารอรับได้ ดังนั้น สังคมไทยต้องถามตัวเอง ไม่ใช่ถามนายทักษิณ ว่าเราจะยอมรับได้แค่ไหน ที่จะเห็นนักการเมืองพูดมุสา
พร้อมเรียกร้องให้นำเอกสารทางการแพทย์มายืนยันอาการป่วย ไม่ต้องไปอ้างว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคล ขอให้นายทักษิณ มายืนยันด้วยตัวเอง และอย่ามาบอกว่านายทักษิณ ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองแล้ว เพราะการลงพื้นที่เชียงใหม่ในครั้งนี้คึกคักกว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เสียอีก จึงต้องยอมรับว่านายทักษิณ มีความไม่ธรรมดาอยู่แล้ว สังคมไทยก็ต้องตอบตัวเองว่า จะยอมรับได้แค่ไหน เกี่ยวกับการโกหก
หรือไม่เว้นแม้กระทั่งแนวร่วม “สามนิ้ว” อย่าง “บุ้ง” น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม ที่ส่งจดหมายจากเรือนจำ โดยระบุถึงนายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย มีใจความประมาณว่า “เป็นบุคคลที่น่ารังเกียจ และพรรคที่กลับกลอก” ซึ่งถือว่าเป็นคำพูดที่รุนแรงมาก หลังจากก่อนหน้านี้ คนพวกนี้แทบไม่เคยแตะต้องกันเลย
นอกเหนือจากนี้ พรรคก้าวไกล ยังได้เปิดตัวผู้สมัครชิงเก้าอี้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ กันตั้งแต่ไก่โห่ เพราะยังเหลือเวลาอีกนานหลายเดือนกว่าจะมีการเลือกตั้ง แต่ก็เป็นการช่วงชิงให้เห็นว่า พวกเขาต้องการสร้างฐานมวลชนเอาไว้ให้มั่นคงนั่นเอง
แม้ว่าในอนาคตข้างหน้ามีแนวโน้มสูงมากที่ พรรคก้าวไกลจะต้องถูกยุบ กรรมการบริหารพรรคชุดนี้ จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตั้งแต่สิบปี ไปจนถึงตลอดชีวิต และแน่นอน ว่ากรรมการบริหารในชุดนั้นย่อมมี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และ นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรค จะมีความเสี่ยงก็ตาม แต่เมื่อการเมืองที่เป็น “กระแส” ก็อาจยังส่งให้พรรคก้าวไกล ในชื่อพรรคอื่นเดินหน้าต่อไป ส่วนจะเติบโตได้หรือไม่ ก็ต้องจับตากันต่อไป
นาทีนี้ถือว่า “ศึกสองขั้ว” ระหว่างสองพรรค คือเพื่อไทย กับก้าวไกล ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และเชื่อว่าจะต้องดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในเรื่องการ “ซักฟอก” ที่ตอนแรกทำท่าเหมือนกับ “เกี้ยเซียะ” แต่เมื่อสถานการณ์เดินมาถึงจุดสำคัญ มันก็จำเป็นต้องเขี่ยอีกฝ่ายให้พ้นทางไปก่อน เพราะเมื่อรู้ชะตาว่าต้อง “ถูกยุบแน่” มันก็ต้องใส่กันเต็มที่ไว้ก่อน เอาเป็นว่า แม้เบื้องหลังจะมี “ดีลลับ” กันหรือไม่ แต่รับรองว่ามาถึงจุดที่เดินหน้าลุยไม่ยั้งกันแล้ว !!