เมืองไทย 360 องศา
นาทีนี้เลิกพูดกันได้แล้วว่า นายทักษิณ ชินวัตร ป่วยขั้นวิกฤตหรือไม่ แล้วทำไมเมื่อได้รับการพักโทษ กลับมาอยู่บ้านจันทร์ส่องหล้า อาการดีวันดีคืน จนล่าสุด สามารถออกเดินทางไกล นั่งเครื่องบินส่วนตัว โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความกดอากาศ ไปเชียงใหม่ ด้วยเหตุผลที่บอกว่าไป “ไหว้บรรพบุรุษ” แต่เมื่อได้เห็นรายการที่ออกมา ไม่ต่างกับการเดินสาย เพราะคิวยาวเหยียด จนแทบไม่มีเวลาพัก ดังนั้น จึงไม่ต้องมาพูดให้เสียเวลาว่าเขาป่วยจริงหรือไม่ เพราะที่ผ่านมา มันเป็นแค่ “แท็กติก” ข้ออ้าง ที่ไม่ต้องถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำแม้แต่วันเดียว ใช่หรือไม่
แต่สิ่งที่ต้องพิจารณากัน ก็คือ ทำไมเขาต้องเลือกเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงเวลานี้ เพราะหากพิจารณากันถึงความเหมาะสม ก็อาจมองว่าคงไม่เหมาะนัก เพราะเขายังอยู่ในสถานะนักโทษ และกำลังอยู่ในช่วงพักโทษเท่านั้น แต่ก็อย่างว่าในเมื่อสามารถทำทุกอย่างจนไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว เรื่องอื่นถือว่าไม่ต้องไปหาเหตุผลมาอธิบายกันแล้ว
ก่อนอื่นก็ต้องดูถึงกำหนดการต่างๆ ที่ นายทักษิณ ไปเยี่ยมชม และพูดคุยตามสถานที่ต่างๆ เรียกว่า คิวยาวเหยียด แบบที่ว่า คนปกติยังต้องเหนื่อยเลยทีเดียว เริ่มจากตอนเช้ามืด เขาเอาฤกษ์เอาชัยด้วยการไปสักการะศาลหลักเมืองในกรุงเทพฯ จากนั้นก็นั่งเครื่องบินส่วนตัวไปจังหวัดเชียงใหม่ ถึงที่นั่นก็เป็นช่วงสายๆ
สถานที่แรกที่นายทักษิณ แวะไป คือ อุทยานหลวงราชพฤกษ์ สถานที่ที่ใช้จัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2549 ที่สมัยนายทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรีได้ผลักดันโครงการ จากนั้นจะเดินทางไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านช้างม่อยกาแฟ ซึ่งเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ้าประจำ ที่ตั้งอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ เสร็จแล้วเดินทางต่อไปยังคลองแม่ข่า บริเวณถนนระแกง ในตัวเมืองเชียงใหม่ เพื่อดูการพัฒนา และไปบริเวณอ่างเก็บน้ำหนองเขียว ด้านหลังศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่ แล้วเดินทางต่อไปยังหน่วยจัดการต้นน้ำแม่สา ตำบลแม่สา อำเภอแม่ริม และรับประทานอาหารเย็นที่ภัตตาคารอาหารจีน เจี่ยท้งเฮง สาขาฟ้าฮ่าม ในตัวเมืองเชียงใหม่ และเข้าพักค้างคืนที่บ้านพักในสนามกอล์ฟซัมมิท กรีนวัลเลย์ อำเภอแม่ริม
ขณะที่ ในวันที่ 15 มี.ค. 67 นายทักษิณ พร้อมครอบครัว จะเดินทางไปสักการะอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย เชิงดอยสุเทพ และขึ้นดอยสุเทพไปกราบสักการะพระธาตุดอยสุเทพ เพื่อความเป็นสิริมงคล จากนั้นเดินทางลงมาไปที่ตลาดวโรรส หรือ “กาดหลวงเชียงใหม่” โดยจุดนี้คาดว่าจะมีมวลชนรอให้การต้อนรับ เสร็จแล้วนายทักษิณ จะไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านข้าวซอยเสมอใจ ฟ้าฮ่าม ในตัวเมืองเชียงใหม่ ก่อนที่ช่วงบ่ายจะเดินทางไปสุสานที่ฝังอัฐิของนายเลิศ ชินวัตร และ นางยินดี ชินวัตร พ่อและแม่ของนายทักษิณ ที่ตั้งอยู่ติดกับอ่างเก็บน้ำห้วยแม่ออน ตำบลออนเหนือ อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ เสร็จแล้วไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษ ที่วัดโรงธรรมสามัคคี อำเภอสันกำแพง รวมทั้งเยี่ยมญาติที่บ้านชินวัตร และร่วมงานเลี้ยงที่บ้านกรีนวัลเล่ย์ ซึ่งที่นี่จะมีคนเสื้อแดงมารอต้อนรับด้วย โดยเขาจะอยู่ที่เชียงใหม่จนถึงวันที่ 16 มีนาคม และในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ
มีรายงานว่า ระหว่างที่เดินทางถึงอุทยานหลวงราชพฤกษ์ นายทักษิณ ที่มาพร้อมกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ลูกสาว, ลูกเขย หลานสาว นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เป็นน้องเขย ได้เดินพบปะพูดคุยทักทายเล็กน้อยกับมวลชน ที่มารอรับ
จากนั้นจึงขึ้นรถไฟฟ้าเข้าชมอุทยานหลวงราชพฤกษ์ พร้อมกับคณะ จำนวนหลายสิบคน เช่น ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, นายพิชัย เลิศพงษ์อดิศร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ และ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น
พิจารณาจากกำหนดการดังกล่าวแล้ว ไม่ต่างจากการเคลื่อนไหวทางการเมือง อย่างชัดเจน รวมไปถึงยังเป็นการแสดงให้เห็นถึง “อำนาจและบารมี” ที่เหมือนกับว่า ต้องการ “โชว์” ให้ “ใคร” ได้เห็นอีกด้วย เพราะคาดว่า ในระหว่างวันที่ 15-16 มีนาคมนี้ ในช่วงที่ นายเศรษฐา ทวีสิน ไปประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ที่จังหวัดพะเยา คงต้องไปพบกับ นายทักษิณ อย่างแน่นอน ซึ่งภาพที่ออกมาก็แสดงให้เห็นว่า เป็นการไปเยี่ยมคารวะ “ผู้นำตัวจริง” นั่นแหละ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะโครงสร้างทางอำนาจในพรรคเพื่อไทย มันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี เมื่อวกกลับมาที่เจตนาที่แท้จริง สำหรับการเดินทางจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นบ้านเกิด ในครั้งนี้ มันเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างชัดเจนที่สุด แม้ว่าหากมองแบบทั่วไปในสถานะที่ยังเป็นนักโทษ มันก็ย่อมไม่เหมาะที่จะพบปะพูดคุยกับใครในทางสาธารณะแบบนี้ รวมไปถึงการพบปะกับบรรดาข้าราชการ และนักการเมืองระดับสูงอย่างที่เห็น
แต่หากมองอีกด้าน มันเป็นการแสดงให้เห็นถึงอำนาจ และบารมีที่แท้จริงของตัวเอง เพื่อหวังผลทางการเมือง และการเลือกเชียงใหม่ ที่นอกจากเป็นบ้านเกิดแล้ว ในทางการเมืองแล้วในอดีตถือว่า “เป็นเมืองหลวงทางการเมือง” ของพวกเขา มาตั้งแต่พรรคไทยรักไทย เพียงแต่ว่าในระยะหลัง ทุกอย่างกำลังถดถอยไม่เหมือนเดิม พิสูจน์ให้เห็นจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา ที่พรรคเพื่อไทย พ่ายในจังหวัดเชียงใหม่แบบหลุดลุ่ย รวมไปถึงในภาคเหนืออีกหลายจังหวัด หลายพื้นที่ ต้องเสียที่นั่งให้กับพรรคอื่นจำนวนมาก ขณะที่มวลชนที่เคยสนับสนุนก็เกิดความแตกแยกเสื่อมศรัทธาหนีหายไปไม่น้อย เรียกว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิม
โดยเฉพาะในการเลือกตั้งที่จะมาถึงในคราวหน้า คาดหมายว่า พรรคเพื่อไทย จะต้องสู้กันโดยตรงกับพรรคก้าวไกล (หรือในชื่อใหม่) และแม้ว่าจะมองว่า “ซูเอี๋ย” กัน ในบางสถานการณ์ แต่ในทางการเมืองก็ยังต้องแข่งขันกัน และสำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ถือว่า เป็นการ “เดิมพัน” ครั้งสำคัญอีกครั้ง เพราะคราวนี้อย่างที่รู้กันว่าเขาต้องผลักดัน “ทายาทสายตรง” อย่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ให้ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากแนวโน้มก็มีความเป็นไปได้ ที่อาจมีการเปลี่ยนตัวนายกฯ ในอีกไม่นานข้างหน้า ก็เป็นไปได้ โดยเฉพาะในช่วงเดือนเมษายน หรือพฤษภาคมนี้ ที่ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ผ่านสภา และการหมดวาระของ ส.ว.
ขณะเดียวกัน ด้วยสถานการณ์ที่บีบรัดเข้ามาโดยเฉพาะมีแนวโน้มที่พรรคก้าวไกลจะถูกยุบ และสมการการเมืองจะเปลี่ยนไปทำให้เขาต้อง “เร่งมือ” ให้เร็วกว่าเดิม หรือเปล่า เหมือนกับการเดินทางขึ้นเหนือกลับบ้านเกิดคราวนี้ มันก็ไม่ต่างจากการ “กระชับพื้นที่” เจตนาเบ่งอำนาจ บารมี ให้อีกฝ่ายได้เห็นกับตา อีกทั้งยังเป็นการส่งสัญญาณให้กับผู้สนับสนุนให้เกิดความมั่นใจว่า เขากลับมาอย่างเต็มตัว ส่วนใครที่ยังลังเล หรือตีตัวออกห่าง ก็ให้รีบกลับมา อะไรประมาณนั้น
อีกด้านหนึ่ง การปรากฏตัวของ นายทักษิณ ชินวัตร ต่อสาธารณะในครั้งนี้ เหมือนกับเขา “ไม่แคร์” หรือเปิดหน้าชนอย่างเต็มที่แบบไม่มีกั๊กแบบเกรงใจใครอีกต่อไป ซึ่งเป็นเพราะสถานการณ์บังคับ หรือว่าได้เห็น “สัญญาณ” บางอย่างจนต้องออกโรงเอง แม้ว่างานนี้ดูแล้ว น่าจะ “เหนื่อย” กว่าทุกครั้งก็ตาม แต่ก็ต้องลุ้น และต้องทุ่มสุดตัวเท่านั้น !!