ข่าวปนคน คนปนข่าว
**พีคไม่พัก! ตะลึง "โจ๊ก" ซุกทองแท่งน้ำหนักหมื่นกว่าบาท-แฉบัญชีม้าพ่อบ้านเปย์ให้ป.ป.ช.เที่ยวนอก แถมช่วยเมียเข้าตำรวจ!
อื้อหือ อ้าหา!! ความร่ำรวยของนายตำรวจใหญ่ชื่อดังที่ใครจะไปคาดคิดว่าจะมี "ทองคำแท่ง" น้ำหนัก 11,000 บาท
ถ้าคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันบาทละ 36,500 บาท ก็ต้องมี 400 กว่าล้าน!
ขุมทรัพย์นี้ถูกค้นพบจากทีมสอบสวนคดีส่วยมินนี่ ที่กลุ่มลูกน้องคนสนิท "โจ๊ก หวานเจี๊ยบ" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ที่ถูกดำเนินคดี
จากที่ก่อนหน้านี้ เพิ่งขุดเจอหลักฐานช็อกสังคมลูกน้องโจ๊กใช้เงินใน"บัญชีม้า" โอนเข้าวัดทำบุญในงานกฐินหลวงที่อยุธยา ให้ลูกพี่
“พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ” นายตำรวจ "พ่อบ้านโจ๊ก" ได้ทำบันทึกช่วยจำในการโอนเงินจำนวนดังกล่าวไว้อย่างชัดเจนในคอมพ์
คราวนี้ก็มาจากคอมพ์เช่นกัน
เป็นบันทึกของ “พ.ต.ท.คริษฐ์” ที่ระบุว่า พ.ต.ต.ชานนท์ อ่วมทร กับพวก จัดการขายทองคำน้ำหนักรวม 11,000 บาท ช่วง กุมภาพันธ์- มีนาคม 2563 ในขณะที่ตอนนั้นราคาทองคำประมาณบาทละ 24,000 บาท
หลักฐานชัดยิ่งกว่าชัด พบว่า “พ.ต.ต. ชานนท์ อ่วมทร” ซึ่งเป็นนายตำรวจติดตามโจ๊ก ได้ขายทองแท่งด้วยตัวเขาเอง ให้กับห้างทองชื่อดังย่านเยาวราช ฮั่งเซงเฮง เป็นทองคำน้ำหนัก 3,000 บาท ได้เงินไปครั้งนั้น 74 ล้านบาทเศษ
นอกจากนี้ ยังพบบันทึกเกี่ยวกับขุมทรัพย์ทองคำทั้งที่สั่งให้หน้าม้าเดินขาย และพ.ต.ต.ชานนท์ นำไปขายเองได้เงินไปถึง 249 ล้านบาท จากการขายทองคำให้ร้านทองในเครือ ฮั่วเซงเฮง เพียง 3-4 ครั้ง
ฟังว่า ตอนนี้ ทีมสอบสวนกำลังสืบหาเส้นทางการเงิน ว่าเงินที่ได้จากการขายทองคำมหาศาลถึง 249 ล้านบาทนั้น จากบัญชีนายเวรของโจ๊ก แล่นต่อไปยังบัญชีของใครบ้าง !?
เรื่องซุกทอง ของโจ๊กและพวกจัดว่าพีคแล้วก็ยังมีพีคตามมา เมื่อศาลให้ออกหมายเรียก “พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์” โดยถือเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และให้ออกหมายจับพวกพ้องโจ๊กอีก 3นาย พลเรือนอีก 1 ณพรรษกร แหเกิด หรือ "เสี่ยอู๊ด สงขลา"
คดีนี้เป็นคดีที่นายตำรวจเข้าไปพัวพันกับเว็บพนันออนไลน์ VENUS Master และ BNKMaster เว็บไซต์พนันชื่อดังเครือข่ายใหญ่พื้นที่สงขลา ซึ่งก่อนหน้านี้ “พ.ต.ท.คริษฐ์” นายตำรวจพ่อบ้านคนสนิทของโจ๊ก ถูกดำเนินคดีพร้อมพวกไปแล้ว
ทั้ง 4 รายตกเป็นผู้ต้องหา จากความผิดมูลฐาน การพนันออนไลน์ฯ รับฟอกเงินต่อจาก พ.ต.ท.คริษฐ์ ที่ใช้บัญชีม้า รับโอนเงินจากการเงินกำไรพนันออนไลน์ VENUS Master นั่นเอง
แจ่มแจ้งแดงแจ๋กันไป นะครับนะ!
มาถึงพีคที่ 3 ต่อเนื่องกันไป
นี่ก็สืบจากคอมพ์ ที่พบว่า มีเส้นเงิน คาดว่าเป็นกำไรจากเว็บพนันออนไลน์ โอนเข้าให้พ่อบ้านของนายตำรวจใหญ่ “พ.ต.ท.คริษฐ์” เช่นกัน
พ่อบ้านนายตำรวจใหญ่ก็ใช้ "บัญชีม้าหญิง" อีกตัวใช้จ่ายรับรองดูแลส่วนตัวให้แก่เจ้าหน้าที่ป.ป.ช. หลายคน เป็นค่าเครื่องบินไปเที่ยวนอก
คนป.ป.ช.กลุ่มนี้ยังพาแฟน พาใครต่อใครไปด้วย บัญชีม้าก็จ่ายให้หมด
ว่ากันว่า แฟนของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ที่พ่วงไปดังกล่าว ปัจจุบันพบว่า หลังจากกลับจากนั่งเครื่องเที่ยวนอก ได้บรรจุเป็นข้าราชการตำรวจ ในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปัจจุบันทำงานอยู่เป็นนายตำรวจในกองบัญชาการแห่งหนึ่ง จึงเป็นเรื่องน่าบังเอิญ และโชคดีจากทริปเที่ยว บริการนอกสถานที่นี้อย่างดีจากทีมโจ๊ก
ประเด็นนี้คอนเฟิร์มว่า ทำไมป.ป.ช.จึงช่วยโจ๊กรอดคดีอยู่ตลอด และ อหังการ์ว่าจะสั่งคดีไปทางไหนก็ได้ ...มิน่าล่ะ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง
** ได้เวลาแกนนำแถว 3 เมื่อ กกต.มีมติ ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ยุบพรรคก้าวไกล!!
ในที่สุด กกต.ก็มีมติเอกฉันท์ ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญ ยุบพรรคก้าวไกล เนื่องจากเห็นว่าการกระทำของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” และพรรคก้าวไกล ที่เสนอ ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่..) พ.ศ. .... กฎหมายอาญา มาตรา 112 ใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า กระทำการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560
กระบวนการหลังจากนี้ ทางสำนักกฎหมายและคดี ของสำนักงานกกต. ก็จะยกร่างคำร้อง เพื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมแนบหลักฐาน คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 3/2567 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 29 ก.พ.ที่ผ่านมา เป็นเอกสารประกอบคำร้อง ซึ่งคาดว่ากระบวนการที่กกต. ต้องจัดทำจะแล้วเสร็จในสัปดาห์นี้
จากนั้นยื่นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อผ่านกระบวนการรับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว ศาลก็จะเปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องได้ยื่นคำชี้แจง แสดงเหตุผลในการคัดค้าน ตามกรอบเวลาที่กำหนด ซึ่งอาจจะมีการขายเวลาให้ได้ ถ้าผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอขยายเวลามา ถ้าจะมีการดึงเกม ชักช้า ก็อยู่ตรงขั้นตอนนี้
เอาเป็นว่าเบ็ดเสร็จแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญน่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน ในการพิจารณาวินิจฉัยและตัดสินชี้ขาดได้
คดีนี้ตามความเห็นของบรรดานักกฎหมาย นักวิชาการ ตลอดจนผู้ที่เกาะติดการเมือง ต่างฟันโช๊ะว่า “ยุบชัวร์!!”
เมื่อยุบพรรค ก็จะมีผลให้ต้องตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคด้วย ซึ่งคณะกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลในช่วงที่มีการยื่นแก้ไข มาตรา 112 ประกอบด้วย 1.พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค 2.ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค 3.น.ส.ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ เหรัญญิกพรรค 4. ณกรณ์พงศ์ ศุภนิมิตรตระกูล นายทะเบียนสมาชิกพรรค 5.ปดิพัทธ์ สันติภาดา กก.บห.สัดส่วนภาคเหนือ 6.สมชาย ฝั่งชลจิตร กก.บห.สัดส่วนภาคใต้ 7.อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล กก.บห.สัดส่วนภาคกลาง 8. เบญจา แสงจันทร์ กก.บห.สัดส่วนภาคตะวันออก 9. อภิชาติ ศิริสุนทร กก.บห.สัดส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ 10.สุเทพ อู่อ้น กก.บห.สัดส่วนปีกแรงงาน
ซึ่งการตัดสิทธิ์ทางการเมืองจะเป็นเวลากี่ปีนั้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งที่ผ่านมานั้น ศาลฯได้วางแนวทางไว้เป็นเวลา 10 ปี และจะลามมาถึงคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ ที่มี “ชัยธวัช ตุลาธน” เป็นหัวหน้าพรรคหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณา หากเห็นว่ายังมีพฤติกรรม ความเคลื่อนไหว ที่สนับสนุนการแก้ ม.112 อยู่
นอกจากกรรมการบริการพรรคแล้ว ยังมีกลุ่มสส.ที่ก้นร้อน อยู่ไม่เป็นสุข คือผู้ที่ร่วมลงชื่อ เสนอร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ต่อสภา ซึ่งมีทั้งสิ้น 44 คน
โดยสส.กลุ่มนี้ ถูกยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.สอบความผิดจริยธรรมร้ายแรง ซึ่ง “นิวัติไชย เกษมมงคล” เลขาธิการป.ป.ช. บอกว่ากำลังเร่งตรวจสอบ โดยกำหนดกรอบเวลาไว้ 180 วัน นับจากวันที่รับเรื่องร้องเรียน หากที่ประชุมกรรมการป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดจริยธรรมร้ายแรง ก็จะส่งเรื่องให้ศาลฎีกา พิจารณาตัดสิน
ตัวอย่างความผิดจริยธรรมร้ายแรง แล้วถูกศาลฎีกาตัดสิน โทษจะหนักแค่ไหนนั้น มีตัวอย่าง เช่น กรณี “ปารีณา ไกรคุปต์” อดีตสส.ราชบุรี ที่ครอบครองที่ดินส.ป.ก. ศาลฎีกาสั่งให้พ้นจากตำแหน่งสส. เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง10 ปี แถมไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ตลอดชีวิต
เรียกได้ว่าเป็นการประหารชีวิตทางการเมืองกันเลยทีเดียว!!
จะเห็นได้ว่า จากเรื่องนี้โอกาสที่ ส.ส.พรรคก้าวไกลจะถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งส.ส.มีมากกว่า 50 คน และหากพรรคก้าวไกล ยังต้องการรักษาจำนวนส.ส. เพื่อคงความเป็นพรรคลำดับที่ 1 ไว้ ก็ต้องดิ้นรนหาทางออก อย่างเช่นให้กรรมการบริหารพรรคที่เป็นสส.บัญชีรายชื่อ รวมทั้งสส.บัญชีรายชื่อใน 44 คน ที่ร่วมลงชื่อ ยื่นร่างแก้ไข ม.112ต่อสภา ทยอยลาออก ก่อนที่ศาลฯจะตัดสินยุบพรรค เพื่อเลื่อนบัญชีรายชื่อลำดับถัดไปขึ้นมาเป็นสส.แทน
แต่ปัญหาใหญ่ ที่น่าหนักใจคือ แล้วบรรดาสส.บัญชีรายชื่อเหล่านั้นจะยอมลาออกหรือ
และหากพรรคถูกยุบ แม้จะมีการเตรียมพรรคใหม่ไว้รองรับ ก็ต้องติดตามดูว่า จะมีสส.งูเห่า เลื้อยย้ายข้างไปอยู่พรรคฝั่งรัฐบาลหรือไม่
แต่ถ้าหากยังอยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อน ก็ให้จับตาแกนนำพรรคแถว 3 อย่าง “ไอติม” พริษฐ์ วัชรสินธุ หรือ “รังสิมันต์ โรม” จะได้รับไฟเขียวให้ขึ้นมาเป็นระดับนำพรรคหรือไม่