ข่าวปนคน คนปนข่าว
**เปิดวอร์! ขาใหญ่-นายทุนฮุบที่ ส.ป.ก.ทำมาหากิน "ธรรมนัส" ขยับดึงดาบปปง. ร่วมฟัน "ฟอกเงิน"
ข่าวว่าวันนี้ (11มี.ค.) สองหน่วยงาน ระหว่าง สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) กับ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) จะหารือด้วยกัน เพื่อหาแนวทางจัดการกับคนรุกที่-ฮุบที่ส.ป.ก.โดยมิชอบ
ถือว่าไม่ธรรมดาแน่งานนี้ เพราะนี่เป็นมาตรการ หรือการประกาศทำสงคราม!
และที่ต้องจับตา “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หลังจากลั่นวาจาดุดันในสภาฯ เก็บกวาดขยะจัดการคนในบ้าน "จัญไร" ที่ทำผิดกฎหมาย ก็โพสต์ในเฟซบุ๊กตามมาว่า.. ผมพร้อม “ทำสงครามกับที่ดินเถื่อนในเขตปฏิรูปที่ดิน” ทั่วประเทศ
ถ้าใครติดตามเรื่องของการรุกที่-ส.ป.ก. หรือที่ดินเพื่อการทำกินของเกษตรกรจะเห็นว่า เป็นปัญหามาช้านาน โดยวัตถุประสงค์นั้นดี แต่มีกลุ่มนายทุน นักการเมืองขาใหญ่ ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น เหมากินรวบ
ที่ผ่านๆ มาทุกรัฐบาลก็รู้ๆ ปัญหาแต่ก็ปล่อยปละเพราะ "พวกกัน" ไม่มีใครลุกขึ้นมาประกาศสงครามเอาจริงเอาจังโดยเฉพาะการใช้กฎหมายฟอกเงิน!
แม้ "สงคราม" เพิ่งเริ่มต้น เป็นเรื่องที่ยังต้องติดตามดูผล แต่ก็ต้องถือว่า การริเริ่มการเคลื่อนไหวของ ร.อ.ธรรมนัส และกระทรวงเกษตรฯ เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม
งานนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ดูจากหนังสือ "วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข" เลขาธิการสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ทำถึงเลขาธิการสำนักงาน ปปง. ซึ่งมีใจความว่า...
"ด้วยสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตรวจสอบพบว่า มีเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร หรือบุคคลบางคน หรือ บางกลุ่ม รวมถึงกลุ่มนายทุนได้กระทำความผิดในเขตปฏิรูปที่ดิน เช่น การลักลอบขุดดินเพื่อนำออกจำหน่ายโดยปราศจากความยำเกรงต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมาย และการใช้ประโยชน์ในที่ดินผิดวัตถุประสงค์ตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หรือเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการค้า หรือเพื่อการให้บริการแก่นักท่องเที่ยวจำนวนมาก ซึ่งกระบวนการตามกฎหมายปกติไม่สามารถจัดการปัญหาหรือสร้างความยำเกรงให้แก่ผู้กระทำความผิดได้ หรือผู้กระทำความผิดมีพฤติการณ์ซึ่งน่าจะเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ หรือความสงบเรียบร้อยในสังคม หรือเป็นผู้มีอิทธิพล หรือเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลนักการเมืองหรือข้าราชการระดับสูงประกอบกับส.ป.ก. เห็นว่า กรณีดังกล่าวมีลักษณะเป็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม โดยการใช้ ยึดถือ หรือครอบครอง ทรัพยากรธรรมชาติหรือกระบวนการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันมีลักษณะเป็นการค้าซึ่งเข้าองค์ประกอบเป็นความผิดมูลฐานตาม มาตรา 3 (15) แห่งพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ 2542 ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ให้ความเห็นไปแล้วนั้น
ในการนี้ เพื่อให้การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมบรรลุผลตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และเพื่อตัดวงจรการฟอกเงินมิให้ผู้กระทำผิด หรือผู้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดนำเงิน หรือทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำผิดไปหมุนเวียน หรือใช้ประโยชน์ในการก่ออาชญากรรมต่อไปป ระกอบกับของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า มอบนโยบายให้ ส.ป.ก. หารือร่วมกับ สำนักงานปปง. เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานร่วมกัน และดำเนินการทางกฎหมายกับผู้กระทำผิดตามมูลฐานดังกล่าว"
เห็นได้เลยว่า...ที่ดิน ส.ป.ก.ที่ถูกบุกรุกครอบครองเอาไปทำประโยชน์ผิดวัตถุประสงค์ มีมากจริงๆ และบรรดากลุ่มทุนขาใหญ่ นักการเมือง ผู้มีอิทธิพล ก็ไม่สะทกสะท้านกับกฎหมายที่มี
คราวนี้ ถ้าเอาผิดด้วยมูลฐาน "ฟอกเงิน" จะเกรงกลัว หนาวกันขึ้นมาบ้างละ
ตามกระบวนการของกฎหมายฟอกเงิน หากเส้นทางการเงินพาพัวพันไปตรงไหน โดนยึดทรัพย์โดนอายัด จะได้เห็นคนกลุ่มนี้จนลงในพริบตา ขณะที่รัฐจะได้รับสมบัติที่ตกเป็นของแผ่นดินเพิ่มขึ้น
เชื่อว่า ปฏิกิริยาของสังคม ยกมือท่วมหัว สนับสนุนเต็มที่ หนุนให้กระทรวงเกษตรฯ เก็บกวาดขยะในวงการนี้ให้หมด ตรวจสอบให้หมดทั้งประเทศ
เมื่อมีคนขยับตัวประกาศสงครามกับพวกหากินกับส.ป.ก.ไม่ว่าหน้าอินทร์หน้าพรหม ต้องให้กำลังใจกัน งานนี้ต้องขจัดให้สิ้น อย่าให้เหลือซาก
**อาฟเตอร์ช็อก!! ยุบก้าวไกล สะเทือนถึงเพื่อไทย
หลังจากศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยชี้ขาดเมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า การเสนอแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล เข้าข่ายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
วันรุ่งขึ้นก็มีผู้ไปยื่น กกต. ขอให้พิจารณายุบพรรคก้าวไกล เพราะถือว่าเข้าเงื่อนไขตาม มาตรา 92 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง เรื่องการกระทำล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
ถึงวันนี้ผ่านไปเดือนเศษ ยังไม่มีความคืบหน้าจาก กกต. หลายฝ่ายก็เลยออกมากระทุ้งว่า กกต.มัวทำอะไรอยู่ เพราะเรื่องนี้มีคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาแล้ว กกต.ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาตรวจสอบ หาหลักฐานข้อมูล อะไรอีก สามารถยื่นเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณายุบพรรคได้เลย
เมื่อโดนกระทุ้งหนักๆเข้า “อิทธิพร บุญประคอง” ประธานกกต. จึงต้องออกมาชี้แจงของขั้นตอนกระบวนการ ว่า เมื่อมีการยื่นคำร้องยุบพรรคเข้ามา ทาง กกต.ก็ขอให้สำนักงานกกต. และนายทะเบียนพรรคการเมือง ไปศึกษาคำวินิจฉัยและตัวบทของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ว่าจะต้องดำเนินการอย่างบ้าง ซึ่งในขั้นตอนนี้ ควรจะนำเอาคำวินิจฉัยฉบับสมบูรณ์ มาประกอบการพิจารณาด้วย ซึ่งคำวินิจฉัยฉบับสมบูรณ์ของศาลรัฐธรรมนูญ เพิ่งออกมาเมื่อวันที่ 29 ก.พ.67นี้เอง โดยผ่านทางราชกิจจานุเบกษา ทางสำนักงาน กกต. จึงต้องนำคำวินิจฉัยนี้ ไปศึกษาพิจารณาอีกครั้ง เพื่อประกอบความเห็น ยืนยันว่า หลังจากนี้จะไม่ชักช้าแล้ว
จึงมีการคาดหมายกันว่า ในสัปดาห์นี้ หรืออย่างช้าสัปดาห์หน้า กกต.จะสรุปเรื่อง พร้อมเสนอความเห็น ให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณายุบพรรคก้าวไกล
ขณะเดียวกัน พรรคก้าวไกล ก็เพิ่งยื่นญัตติด่วนต่อประธานสภา ขอตั้ง กมธ.วิสามัญ ศึกษาขอบเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ และขอบเขตอำนาจนิติบัญญัติ
เพราะเห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญ กำลังก้าวก่าย ล้ำเส้นของเขตอำนาจนิติบัญญัติในการเสนอกฎหมาย หรือแก้ไขกฎหมายหรือไม่ ... เรียกว่า “ก้าวไกล” กำลังดิ้นตอบโต้ เอาคืนกับศาลรัฐธรรมนูญ
เรื่องนี้ “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ยืนยันว่า นี่ไม่ใช่การเอาคืน แต่เป็นอำนาจหน้าที่ตามกรอบรัฐธรรมนูญ ที่สส.จะนำคำถามในใจของประชาชน มาถกกัน และไม่กลัวว่าจะเป็นตัวเร่งให้ถูกยุบพรรคเร็วขึ้น
“ถ้าคิดว่าประชาชนจะยอมรับก็ทำเลย เราพร้อมทุกวัน ตั้งแต่มีการยุบพรรคอนาคตใหม่มาแล้ว และไม่เชื่อว่าจะมีงูเห่าแตกรัง ถ้าพรรคถูกยุบ”
ขณะที่ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้า เชื่อว่าการยุบพรรค ไม่ทำให้พรรคก้าวไกลหนักใจ เพราะก่อนหน้านั้นพรรคอนาคตใหม่ ผ่านการยุบพรรคมาแล้ว เชื่อว่าผู้สนับสนุนเข้าใจ และพร้อมจะเดินทางต่อ การยุบพรรคจะทำให้คนเห็นอกเห็นใจถึงความไม่เป็นธรรม ความไม่ถูกต้องที่ดำรงอยู่ในประเทศนี้ ที่ผ่านมาเราได้แสดงให้ประชาชนเห็นว่า พวกเราตั้งใจจริงที่จะเปลี่ยนประเทศ ให้ประเทศไทยดีกว่านี้ ให้ประชาชนเข้าถึงคุณภาพชีวิตที่ดี
ก็ไม่รู้ว่า “ธนาธร” มีความเชื่อมั่น หรือแค่ปลอบใจตัวเองว่าพรรคก้าวไกลจะ “ยิ่งยุบ ยิ่งโต”
อย่างไรก็ตาม หากถึงที่สุดแล้ว ถ้าพรรคก้าวไกลถูกยุบ พรรคที่จะออกอาการหนาวๆ ร้อนๆ ตามมาคือ “พรรคเพื่อไทย”
เพราะ“เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” อดีตสว. ก็ได้ไปยื่นยุบพรรคเพื่อไทยไว้ด้วย เนื่องจากในการหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยได้สนับสนุนการแก้ไข มาตรา112 เช่นกัน
“เรืองไกร” บอกว่า ได้ไปยื่นคำร้องดังกล่าวต่อ อัยการสูงสุด เมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา และล่าสุด ทางอัยการสูงสุด ก็มีหนังสือเรียกไปให้ข้อมูลเพิ่มเติม ในวันที่18 มี.ค.นี้ และไม่ว่าอัยการสูงสุดจะมีคำพิจารณาอย่างไร ก็ไม่ตัดสิทธิที่เขาจะร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้ยุติการกระทำดังกล่าว และหากศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยไปในทิศทางเดียวกัน ก็เป็นเรื่องที่ กกต. ต้องยื่นยุบพรรคเพื่อไทยในอันดับต่อไป
งานนี้เรียกว่าถ้ายุบพรรคก้าวไกล ย่อมสะเทือนถึงพรรคเพื่อไทย และ กกต.ก็จะต้องอุ้มเผือกร้อน คือสำนวนยุบพรรคเพื่อไทย อีกรอบ