เมืองไทย 360 องศา
เผลอแป๊บเดียวรัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคเพื่อไทย และนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ก็บริหารราชการแผ่นดินมานานเกิน 6 เดือนเข้าไปแล้ว หากเป็นงานบริษัททั่วไปก็ถือว่าต้องมีการประเมินผลงานกันแล้ว และแม้ว่าที่ผ่านมาจะเห็น “แอ็กชั่น” ของ นายกรัฐมนตรี ในแบบขยันขันแข็งตลอดเวลา มีการเดินสายตรวจงานไม่ได้ว่างเว้น ลงพื้นที่ทั้งในประเทศเกือบค่อนประเทศแล้ว ยังมีเดินทางไปต่างประเทศร่วมประชุมกลุ่มภูมิภาค แบบทวิภาคี พบนักลงทุน เชิญชวนให้มาลงทุนในบ้านเรา สารพัด
แต่ก็ยังมีคนมองว่าสิ่งที่เห็นเหล่านั้นล้วน “เป็นงานรูทีน” ไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอัน หรือไม่ก็เป็นการต่อยอดได้ประโยชน์จากรัฐบาลที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยว หรือแม้กระทั่งงานด้าน “ซอฟต์เพาเวอร์” การลงทุนเรื่องรถไฟฟ้า ก็ตาม
แต่สำหรับนโยบายหลัก หรือ “เรือธง” อย่างเช่น การแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต หัวละหมื่นบาท กลับไม่มีความคืบหน้า ถึงกับถูกปรามาสฟันธงกันล่วงหน้าอาการแบบนี้ว่า “ล่ม” แน่นอน ขึ้นค่าแรงวันละ 400 บาท เงินเดือนปริญญาตรีคนละ 25,000 บาท เป็นต้น รวมไปถึงนโยบาย “1 ครอบครัว 1 ซอฟต์เพาเวอร์” ที่ประกาศสร้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง โครงการดังกล่าวเหล่านี้กลับไม่มีการขยับ อย่างมากที่เห็นก็คือ ตั้ง “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นรองประธานขับเคลื่อน แต่ก็ยังไม่เห็นการขยับ จนเห็นผลงานออกมาแบบเป็นเรื่องเป็นราวออกมาเลย
แน่นอนว่า หากมองกันด้วยความเป็นธรรม อีกด้านหนึ่งมันก็เหมือนกับการ “เร่งทำผลงาน” เพียงแต่ว่ายังไม่ออกดอกออกผล เช่น โครงการแลนด์บริดจ์ ที่ถือว่าเป็น “เมกะโปรเจกต์” ที่รัฐบาลกำลังเดินหน้าเชิญชวนนักลงทุนจากทั่วโลกให้มาร่วมลงทุน เพียงแต่ว่ายังไม่เห็นว่าใครจะมาลงทุนจริงจัง มีแต่ฝ่ายรัฐบาล หรือนายกรัฐมนตรี ที่บอกว่ามีนักลงทุนสนใจจำนวนมาก แต่ทุกอย่างก็ยังไม่คืบหน้า จนหลังๆ หากสังเกตจะเห็นว่าเริ่มมีการพูดเรื่องนี้น้อยลงไปมากแล้ว
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งที่รัฐบาลมักนำมาอ้างอยู่เสมอก็คือ ยังไม่ได้ใช้งบประมาณ เนื่องจากพระราชบัญญัติงบประมาณปีนี้ยังไม่เสร็จสิ้น ยังอยู่ในขั้นตอนของรัฐสภา กว่าจะนำมาใช้ได้ก็ราวเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป แต่ถึงอย่างไรทุกอย่างก็มี “ไทม์ไลน์” ของมันอยู่แล้ว
ดังนั้น หากพิจารณากันเท่าที่เห็นในเวลานี้ ก็ต้องย้ำว่า ยังไม่เห็นผลงานของรัฐบาลแบบเป็นชิ้นเป็นอัน แบบจับต้องได้ โดยเฉพาะนโยบาย “เรือธง” ของพรรคเพื่อไทย ที่เคยประกาศเอาไว้ตอนหาเสียง ที่บอกว่า “ทำทันที” เนื่องจากศึกษามาดีแล้ว จนถึงวันนี้ผ่านมากว่า 6 เดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการขับเคลื่อนออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรมเลย และอย่าได้แปลกใจที่เริ่มมีเสียงวิจารณ์ เสียงเหน็บแนมออกมาให้ได้ยินดังขึ้นเรื่อยๆว่า “ไม่มีผลงาน”
นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า “ไม่มีผลงาน...รัฐบาลพัง” ผ่านมา 6-7 เดือนแล้ว ผลงานยังไม่ออกมา หรือออกมาล่าช้า พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นแกนนำก็จะเสียคน และก็จะกระทบไปยังรัฐบาลโดยรวมด้วย ข้ออ้างเรื่องงบประมาณยังไม่ออก หรือโน่นนี่นั่น ชาวบ้านเขาไม่ฟังหรอก ยิ่งคุยใหญ่คุยโตก่อนเลือกตั้งว่าจะทำเรื่องนั้น เรื่องนี้ ทันที แต่ถึงเวลายังไม่เห็นมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากงานประจำ ลงพื้นที่ ไปต่างประเทศ แล้วก็ประชุมเป็นงาน รูทีน แต่งานที่จะออกมาโดนใจเปรี้ยงปร้างมากกว่ารัฐบาลลุงตู่ ยังไม่เห็นเลย
ชาวบ้านเขาก็ชักจะทนไม่ไหว เปลี่ยนรัฐบาลแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรดีไปกว่ารัฐบาลเก่า กระแสจึงตีกลับกดดันมาเป็นข่าวเรื่องปรับครม.บ้าง เรื่องนายก 2 คน 3 คนบ้าง หรือถึงขั้นเปลี่ยนตัวนายกบ้าง เหล่านี้เป็นเรื่องไม่มีผลดีต่อรัฐบาลทั้งสิ้น ยิ่งขืนปล่อยให้นานวันไป เพื่อไทยก็จะเสียผู้เสียคนไปใหญ่ ก้าวไกลก็จะโตขึ้น... ทั้งหมดมาจากความสิ้นหวังที่มีต่อรัฐบาล เรื่องผลงานจึงเป็นเรื่องใหญ่ของเพื่อไทยที่จะต้องพิสูจน์ให้กับประชาชนเห็นเป็นประจักษ์อีกครั้ง มัวเงื้อง่าราคาแพงอยู่ก็จะโดนโห่ฮาปาเวทีไปเปล่า
นั่นคือความเห็นส่วนหนึ่งของ นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา ที่ระบุว่า รัฐบาลชุดนี้ยังไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน โดยอ้างเสียงสะท้อนจากชาวบ้านเข้ามาด้วย โดยเห็นว่าไม่ได้แตกต่างจากรัฐบาลชุดที่แล้ว ขณะเดียวกันยังระบุถึงสถานะการมีนายกฯถึงสองสามคน สะท้อนให้เห็นว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไม่ได้มีอำนาจที่แท้จริง ลักษณะมี “ผู้สั่งการ” อยู่ข้างหลัง แม้ว่าจะไม่มีการเอ่ยชื่อออกมา แต่ก็เข้าใจกันดีว่า คือนายทักษิณ ชินวัตร ที่เวลานี้มีการมองกันว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังทุกอย่าง รวมไปถึงลูกสาวของเขา คือ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่เวลานี้เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นั่นเอง
แม้ว่าที่ผ่านมา นายเศรษฐา จะพยายามอธิบาย และยืนยันว่า เขามีอำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรีอยู่เต็มเปี่ยมแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีน้อยคนที่เชื่ออย่างนั้น สังเกตได้จากมีคำถามเรื่องนี้จากสื่อแทบตลอดเวลา
อย่างไรก็ดี แม้ว่าหากพิจารณากันในภาพรวมในเวลานี้ ที่สะท้อนผ่านผลสำรวจยังบอกให้ รัฐบาล โดยเฉพาะ นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน สอบผ่าน ก็ตาม แต่ขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีเสียง “ยี้” ดังขึ้นเช่นกัน ซึ่งหากยังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องผลงานที่ยังจับต้องไม่ได้ มีแต่การเดินสายออกงาน หรือ ไปเยี่ยมที่นั่นที่นี่ตลอดเวลา นานไปมันก็ไม่ไหวเหมือนกัน
ขณะเดียวกันเมื่อไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันออกมาให้เห็นภายในปีนี้ หรืออย่างน้อยนโยบาย “เรือธง” อย่าง “ดิจิทัล วอลเล็ต” ที่ชาวบ้านรอคอย ก็ต้องเดินหน้าให้เห็นเป็นรูปธรรม หากไม่ทำ หรือทำไม่ได้ ก็ต้องมีคำอธิบายให้ชัดเจน แต่หากออกมาแบบที่ว่า มันก็ย่อมเสียหายหนักมาก อย่างน้อยก็คือ “เรื่องเครดิต” ก็จะป่นปี้ คำพูดที่ว่า พรรคเพื่อไทย “คิดใหญ่ทำเป็น” ก็จะถูกเยาะเย้ยไม่จบไม่สิ้น และที่สำคัญก็คือ มันย่อมมีผลกระทบทางการเมืองอย่างใหญ่หลวง ส่งผลกับการเลือกตั้งครั้งหน้าอยู่แล้ว
ซึ่งหากทำไม่ได้จริง มันไม่ใช่แค่กระทบกับรัฐบาล กับนายกรัฐมนตรี แต่กระทบกันไปทั้งยวง รวมไปถึงครอบครัวของนายทักษิณ ชินวัตร อีกด้วย แต่เชื่อว่าก่อนจะถึงสถานการณ์นั้น คงต้องมีการ “ตัดตอน” กันก่อน และคาดเดากันไม่ยาก !!