เมืองไทย 360 องศา
ตอนแรกคิดว่าหลังจากที่ นายฮุนเซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เข้าเยี่ยมพบหารือกับ นายทักษิณ ชินวัตร และเดินทางกลับไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน คิดว่าทุกอย่างจะค่อยเงียบลงไป อย่างน้อยก็แค่สงสัยว่าพวกเขาพบและคุยกันเรื่องอะไร เป็นเพียงการสอบถามสารทุกข์สุขดิบในฐานะเพื่อนเก่าตามที่อ้างจริงหรือไม่
แต่กลายเป็นว่าหลังจากนั้น ความสงสัยกลับมีเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่อง “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ที่มาจากเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่ทั้งสองประเทศคือ ไทยและกัมพูชา ต่างยึดถือคนละแบบ ไทยถือแผนที่และข้อตกลงคนละแบบ และที่สำคัญยังมีความเสี่ยงที่อาจจะสูญเสียเขตแดน เช่น เกาะกูด ของไทยแต่เดิมไปด้วย
ข้อสงสัยที่ว่าจนทำให้เกิดความระแวงมากขึ้นเรื่อยๆ ประการหนึ่งมาจาก “แบ็กกราวด์” ของคนทั้งคู่ที่มักมีเรื่อง “ผลประโยชน์” เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ สอง ความใกล้ชิดของคนทั้งคู่ที่มีอิทธิพลและสามารถสั่งการรัฐบาลได้อย่างไร้ขีดจำกัด อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากสิ่งแวดล้อม และความเป็นไปได้ระหว่างการหารือของพวกเขามันทำให้น่าสงสัย เพราะดูเหมือนมีความต่อเนื่องหลังจากที่ นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งเป็นลูกชายของ นายฮุนเซน มาเยือนประเทศไทย เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา และ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่ามีการหารือกันเบื้องต้นเกี่ยวกับเขตพื้นที่ทับซ้อน จากนั้นจะมีการหารือกันต่อในรายละเอียดกันอีกครั้งในโอกาสต่อไป เพื่อนำทรัพยากรธรรมชาติในบริเวณนั้นมาใช้ประโยชน์ร่วมกัน
ดังนั้น หากพิจารณาจากการเดินทางมาของ นายฮุนเซน มันถึงถูกจับตามองเป็นพิเศษ ว่าต้องมีเรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน อีกทั้งการที่มีการเชิญ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ลูกสาวของ นายทักษิณ ไปเยือนกัมพูชา ซึ่งก่อนหน้านี้ มีการเปิดเผยว่าเป็น วันที่ 14-15 มีนาคม จากนั้นมีการยืนยันตอบรับจากพรรคเพื่อไทย เรียบร้อยแล้ว
นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ตอบรับคำเชิญจากสมเด็จ อัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน ประธานคณะองคมนตรีกัมพูชา อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เดินทางไปเยือนประเทศกัมพูชาภายในเดือนมี.ค.นี้ ว่า เป็นการไปเยี่ยมเยือนเพื่อที่จะสานความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยจะมีการหารือเรื่องนโยบายเศรษฐกิจ สังคม รวมถึงจะมีการแลกเปลี่ยนความรู้ให้ไทยและกัมพูชา มีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น โดย น.ส.แพทองธารจะเดินทางไปพร้อมกับคณะกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคเพื่อไทย ส่วนจะมีใครบ้างนั้น พรรคจะมีการหารือกันอีกครั้ง ส่วนรายละเอียดจะมีการเดินทางไปพูดคุยเรื่องอะไรบ้างนั้น ทางพรรคและกก.บห. จะมีการประชุมกันอีกครั้ง ที่จะเป็นประเด็นสาระสำคัญและจะนำประโยชน์มาสู่ประชาชนทั้ง 2 ประเทศ
ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นมันก็ยิ่งทำให้ความสงสัยก่อนหน้านี้มีความเป็นได้มากขึ้น จนแทบจะเชื่อแล้วว่า การหารือกันระหว่าง นายฮุนเซน กับ นายทักษิณ ชินวัตร จะต้องมีเรื่องผลประโยชน์จากพื้นที่ทับซ้อนดังกล่าว โดยเป็นการหารือตกลงกันในเบื้องต้น จากนั้นก็มีการส่ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นำคณะไปเจรจาสานต่อในรายละเอียดอีกครั้งหรือเปล่า
เพราะเมื่อพิจารณาจากการเดินทางไปเยือนกัมพูชาของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในเดือนมีนาคมนี้ มองในมุมไหนดูแล้วก็แทบไม่มีความจำเป็นถึงขนาดนั้น จะอ้างว่าเพื่อไปกระชับความสัมพันธ์ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชนกัมพูชา ที่เป็นพรรคของฮุนเซน และเป็นรัฐบาลผูกขาดอยู่ในเวลานี้ แม้จะอ้างได้ แต่มันไม่สมเหตุสมผลเท่าใดนัก
ก่อนหน้านี้ นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ออกมาปฏิเสธแทนว่า ไม่ได้หารือกันในเรื่องเขตทับซ้อนดังกล่าว เป็นเพียงการมาเยี่ยมเยียนกันธรรมดาเท่านั้น
นายนพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ตามที่มีการบิดเบือนว่านายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้หารือประเด็นพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา กับสมเด็จฮุน เซน และกังวลเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนนั้น ตนขอเรียนว่านายทักษิณ ไม่ได้เจรจาเรื่องดังกล่าว จึงขอให้ยุติการสร้างความสับสนในเรื่องนี้เพราะการเจรจาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชานั้น เป็นเรื่องของรัฐบาลซึ่งจะมีคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคไทย-กัมพูชา หรือเจทีซี เป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการเจรจาระหว่างสองประเทศและคณะกรรมการนี้ปกติประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ ด้านความมั่นคง และอื่นๆ
ทั้งนี้ เขาเชื่อมั่นในกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กรมแผนที่ทหารและสภาความมั่นคงแห่งชาติที่จะรักษาประโยชน์ของประเทศ ดังนั้นที่มีผู้ให้ความเห็นในลักษณะที่ว่ามีคนไปแอบเจรจานั้นจึงควรยุติเสีย เพราะการเจรจาเรื่องนี้เป็นไปตามกรอบเอ็มโอยูปี 2544 ไม่สามารถไปงุบงิบเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์กันได้โดยคนไม่กี่คน และจะต้องเจรจาโดยคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค หรือเจทีซี ดังที่ได้เรียนไปแล้ว จึงขอให้ประชาชนได้สบายใจและอย่าเชื่อการบิดเบือนใส่ร้ายและสร้างความสับสนของบุคคลบางกลุ่ม
“ในเรื่องนี้คณะกรรมาธิการการต่างประเทศจะพิจารณาติดตามความคืบหน้าการเจรจาอย่างต่อเนื่องและเชื่อมั่นว่ารัฐบาลที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีจะขับเคลื่อนการเจรจาตามกรอบเอ็มโอยู 2544 โดยยึดถือประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง และไม่มีการเสียดินแดน ดังนั้นขอเรียกร้องให้ยุติการสร้างความสับสนและให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินการโดยบุคคลที่เกี่ยวข้องในการเจรจาคืบหน้าบนพื้นฐานของประโยชน์ของประเทศต่อไป” นายนพดล กล่าว
นั่นเป็นคำยืนยันจากคนใกล้ชิดของ นายทักษิณ ชินวัตร และคนในครอบครัว ว่าไม่มีลับลมคมใน แต่ก็อย่างว่าในเมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวด์ในอดีตทั้งเรื่องตัวบุคคล และความใกล้ชิดระหว่างกันถึงขั้น “เป็นดอง” กันเลยทีเดียว ยิ่งมาในช่วงเวลาพอเหมาะพอเจาะแบบนี้ มันก็ยิ่งทำให้เพิ่มความระแวงขึ้นไปอีกหลายเท่า แต่อย่างไรก็ดีเชื่อว่าความลับมันไม่มีในโลก แม้ว่าจะแนบเนียนแค่ไหนก็ตาม คงไม่พ้นสายตา เพียงแต่ว่าหากมีรายการอย่างว่าจริง รับรองว่า พังยับเยินแน่นอน !!