ข่าวปนคน คนปนข่าว
** “ม้าดีด” กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา "โจ๊ก หวานเจี๊ยบ" จะเดินสายตัดเวร แก้กรรม คงไม่ช่วยอะไร?!
“โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พยายามขว้างงู “เว็บพนันออนไลน์” ให้พ้นคอด้วยการปฏิเสธ ว่า “ลูกน้อง” ทำอะไรคนเป็นนายจะไปรู้ทุกเรื่องได้อย่างไร
ที่พูดไปเช่นนั้น “โจ๊ก” อาจจะลืมไปคิดว่าที่ตัวเองถูกกล่าวหาไม่ใช่งูที่ตวัดรัดคอแต่เป็น “ม้า” ที่ดีดเข้าใส่เต็มเปา
ม้าดีดอย่างไร? ก็ต้องย้อนไปจุดเริ่มที่ชุดสอบสวนขยายผลเส้นทางการเงิน “บัญชีม้า” ของ “พ.ต.อ.คริษฐ์ ปริยะเกตุ”ลูกน้องคนสนิทนั่นไซร้
จะแก้ตัว-แก้ต่าง ณ นาทีนี้ บอกเลยว่ายากส์!
เพราะหลักฐานที่พนักงานสอบสวนเจอว่า “พ.ต.อ.คริษฐ์ ปริยะเกตุ” มีหน้าที่ตามภาษาวงการพนันเรียกว่า “หน้าเสื่อ” หรือ ตำรวจด้วยกันเรียกว่า “แม่บ้านนาย” ใช้ “บัญชีม้า” รับเงินเข้ามาจากเว็บพนันแล้วทำธุรกรรม “โอน” ต่อให้กับนาย ญาติใกล้ชิดของนาย ตลอดจนตำรวจรอบๆ ตัวนาย
แล้วน่าสงสัยต่อไปอีกว่า ในทางกลับกัน ทำไมตำรวจแม่บ้าน พอได้รับเงินมาจากนาย ตามที่ผู้เป็นนายอ้างกับสื่อ แต่ตำรวจแม่บ้านกลับเอาไปใส่ในบัญชีม้า? ซึ่งก็ย้อนกลับมาที่ตัวผู้เป็นนาย มีเงินทองมากมายให้จับจ่ายใช้สอย ถอนเงินสดมาจากบัญชีไหนกันแน่
เส้นทางการเงินเหล่านี้ พนักงานสอบสวนสามารถไล่ดูจนเห็นหมด เขาถึงเห็นว่า “มีมูล” ว่าเข้าข่ายฟอกเงิน จะมาอ้างลอยๆ ไม่รู้ ไม่เห็น เงินผิดกฎหมายมาได้อย่างไร คงไม่มีพนักงานสอบสวนคนไหนเชื่อ
นอกจากสืบจากบัญชีม้า พ.ต.อ.คริษฐ์ ปริยะเกตุ ถ้อยคำของ “พล.ต.ต.ไพโรจน์ กุจิรพันธ์” อดีต ผบก.สืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 4 ปัจจุบันเป็นนายกสมาคมพนักงานสอบสวน ซึ่งอยู่ในกลุ่มผู้ต้องหาชุดสอง พร้อมกับ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” ก็เหมือนยืนยันข้อเท็จจริงเส้นทางการเงิน “ม้าดีด” เข้าไปอีก
“พล.ต.ต.ไพโรจน์” ยอมรับว่า เป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายให้กับ “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 50,000 บาท มีเงินโอนมาให้ทุกเดือนจากบัญชีม้ามาเข้าบัญชีตัวเองจริง รวมถึงบัญชีของลูก 2 คนด้วย แต่ตัวเองไม่เคยรู้เลยสักนิดว่าเป็นเงินจากเว็บพนัน รู้แค่ว่า “โจ๊ก” คอยดูแลสนับสนุนการทำงานมาหลายปีแล้ว
นี่เรียกว่า ลูกน้องฆ่านายโดยไม่ตั้งใจ!
พล.ต.ต.ไพโรจน์ ได้ชี้แจงว่า จะต่อสู้คดีว่าด้วยเรื่องเจตนา รับเงินมาจริง แต่ไม่มีเจตนา ไม่รู้ว่าเป็นเงินสกปรก
ประเด็นนี้ กูรูกฎหมายเขาว่า ถ้าเป็นเงินจำนวนไม่มาก หรือโอนเข้าบัญชีไม่บ่อย ก็น่าจะพอสู้ได้ว่าไม่มีเจตนาได้ แต่การที่มีเงินโอนเข้ามาจำนวนมาก หรือโอนเป็นประจำ จะอ้างว่าไม่รู้เงินมาจากไหน หรือได้มาอย่างไร คงฟังยาก
สรุปว่า ภาระการพิสูจน์ว่าไม่มีเจตนารับเงินผิดกฎหมาย จะตกเป็นของ “พล.ต.ต.ไพโรจน์” รวมถึงตัว “โจ๊ก” และลูกน้องคนอื่นๆ
ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ ก็เจอข้อหารวยผิดปกติ และข้อหาฟอกเงินซึ่งบังคับให้เจ้าของเงินต้องพิสูจน์ให้ศาลเชื่อให้ได้ว่า เงินนั้น ได้มาจากไหน?
กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา ไม่ว่า "โจ๊ก หวานเจี๊ยบ" จะเดินสายตัดเวร แก้กรรม พึ่งมูเตลู กี่วัด กี่ตำหนัก ก็คงไม่ช่วยอะไรได้มั๊ง นะครับนะ
**หลังปกปิด บิดเบี้ยว มานาน สุดท้าย “สมยศ-เนตร”ก็หนีความจริงไม่พ้น !!
คดี“บอส” วรยุทธ อยู่วิทยา ที่ขับรถเฟอร์รารี่ สีบรอนซ์เทา ชน “ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ” ผบ.หมู่งานป้องกันและปราบปราม สน.ทองหล่อ เสียชีวิตคาที่ ขณะกำลังขี่รถจักรยานยนต์ บนถนนสุขุมวิท ในช่วงเช้ามืดวันที่ 3 ก.ย.55 กำลังจะพลิกกลับไปอีกตลบ
เมื่อทีมโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดตั้งโต๊ะแถลงว่า อัยการสูงสุด สั่งฟ้อง “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” อดีต ผบ.ตร. และ “เนตร นาคสุข” อดีตรองอัยการสูงสุด กับพวก รวม 8 คน ที่ร่วมกันเปลี่ยนแปลงความเร็วรถในสำนวนคดีขณะเกิดอุบัติเหตุ เพื่อช่วยเหลือ “บอส อยู่วิทยา”ให้รอดพ้นจากการถูกดำเนินคดี ตามที่ ป.ป.ช.มีมติ
การพิสูจน์ความเร็วของรถ เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ ซึ่งสำนวนคดีตั้งแต่ต้นในปี 2555 นั้น “ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์” อาจารย์ภาคฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับคณะทำงาน ตรวจพิสูจน์หลักฐานทางคดี ได้คำนวณความเร็วตามหลักการทางฟิสิกส์ พบว่าขณะเกิดเหตุ รถเฟอร์รารี่คันนั้น ใช้ความเร็ว 177 กม.ต่อชั่วโมง
แต่เมื่อ 8 ผ่านไป ในยุคที่ “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง”เป็นกรรมาธิการ ในคณะกรรมาธิการการกฎหมายการยุติธรรม และกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้มีการรื้อสำนวน คำนวณความเร็วรถกันใหม่ โดย“รศ.ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม” อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมการประเมินและความปลอดภัยยานยนต์ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ หนึ่งในพยานทางฝั่งทนายความของ “บอส อยู่วิทยา” คำนวณผลการตรวจสอบความเร็วของรถเฟอร์รารี่ ในวันเกิดเหตุ ว่ามีความเร็วประมาณ 76.175 กม.ต่อชั่วโมงเท่านั้น ไม่ถึง 80 กม.ต่อชั่วโมง ตามที่กฎหมายกำหนดเอาผิด จึงเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยน ทำให้คดีนี้พลิก
สำหรับ 8 คนที่ถูกอัยการสูงสุดสั่งฟ้องครั้งนี้ ประกอบด้วย (1) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง (2) พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข ผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐานในขณะนั้น (3) พ.ต.อ.วิรดล ทับทิมดี พนักงานสืบสวนสอบสวน (สบ 3) สน.ทองหล่อ (4) นายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุดในขณะนั้น (5) นายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม พนักงานอัยการ (6) นายธนิต บัวเขียว (7) นายชูชัย หรือพิชัย เลิศพงศ์อดิศร และ (8) รศ.ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม ผู้คำนวณความเร็วรถ
ส่วนผู้ถูกกล่าวหาอื่นๆ อาทิ “พล.ต.ท. มนู เมฆหมอก” และ “พ.ต.อ.วิวัฒน์ สิทธิสรเดช” ถูกกันตัวไว้เป็นพยาน
สำหรับ พ.ต.ท.ปัณณ์ณภณ นามเมือง , พล.อ.ท.จักรกฤช ถนอมกุลบุตร และ พล.อ.ท.สุรเชษฐ ทองสลวย คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนดำเนินการตาม ป.วิ. อาญา และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 63
พล.ต.ท.เพิ่มพูน ชิดชอบ (ยศขณะนั้น) คณะกรรมการ ป.ป.ช มีมติส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอน เพื่อดำเนินการตามหน้าที่ และอำนาจ ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 64
นายธานี อ่อนละเอียด , พ.ต.ท.ทรงวุฒิ เจริญวิชยเดช, นายวรพล โสคติยานุรักษ์ , นายอุสาห์ ชูสินธ์ และน.ส.ณัฏณิชา ทองชื่น ป.ป.ช.มีมติ ไม่ชี้มูลความผิด
ขั้นตอนต่อจากนี้ อัยการสูงสุดจะมีหนังสือแจ้งไปที่ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการให้ได้ตัวมาตามที่อัยการสูงสุดมีคำสั่ง รับดำเนินคดี ซึ่งคดีนี้เข้าเขตอำนาจศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบฯ ต่อไปก็เป็นการพิจารณาคดีในชั้นศาลแล้ว
ถึงวันนี้แม้จะยังไม่ได้ตัว “บอส อยู่วิทยา” มาดำเนินคดี แต่กรรมได้ตามมาทัน ผู้ที่ร่วมกันแก้ไข ปกปิด บิดสำนวนคดี เพื่อช่วยเหลือ“บอส”แล้ว