เมืองไทย 360 องศา
ช่วงนี้หากสังเกตให้ดี จะได้เห็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองคึกคักเข้มข้นเป็นพิเศษ หลังจากที่ นายทักษิณ ชินวัตร ได้รับการพักโทษกลับบ้านจันทร์ส่องหล้า ในซอยจรัญสนิทวงศ์ 69 โดยเฉพาะต้องจับตากัน ก็คือ การปรับคณะรัฐมนตรี ที่ตอนนี้เริ่มแรงและเป็นไปได้มากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าที่ผ่านมา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะยืนยันหนักแน่นมาแล้วว่า “ยังไม่ปรับ” แต่ตอนนั้นความหมายน่าจะเป็น “ยังไม่ปรับตอนนี้” มากกว่า
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวด์การทำงานของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่เชื่อว่า เป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทย และมีอำนาจเหนือรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน จะมีลักษณะการปรับคณะรัฐมนตรีเฉลี่ยแล้วในทุก 6 เดือน หรือบางครั้งอย่างมากก็ไม่เกิน 1 ปี เท่านั้น มีการหมุนเวียน เพียงแต่ว่าการหมุนเวียนดังกล่าวจะด้วยเหตุผลอะไรนั้นอีกเรื่อง จะเป็นเรื่องของการ “ต่อรอง” ประโยชน์อะไรบางอย่างทั้งกับ “กลุ่มก๊วน” หรือ กับกลุ่ม “ธุรกิจการเมือง” หรือเปล่าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เท่าที่เห็นก็มักจะเป็นแบบนี้
สำหรับรัฐบาลที่นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน ก็เช่นเดียวกัน ในวงการรับรู้กันดีว่า เขาไม่ได้มีอำนาจแท้จริง ทั้งในรัฐบาลและในพรรคเพื่อไทย ซึ่งสังเกตได้จากตัวบุคคลที่มาเป็นรัฐมนตรี รวมไปถึงคนใกล้ชิดรอบตัว มาจนถึงตำรวจติดตาม เลขาส่วนตัว รวมไปถึงคนยกกระเป๋า ถือเอกสาร ล้วนคุ้นหน้าคุ้นตากันดีว่า ล้วนเป็นคนของครอบครัวชินวัตร หรือแม้กระทั่งต้องเรียกว่า “เด็กในบ้าน” ก็ได้
ทั้งนี้ นายเศรษฐา นั้น ก็ถูกมองว่าขึ้นมาเพื่อ “ขัดตาทัพ” ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับ “สถานการณ์บางอย่าง” ในช่วงเริ่มต้น อาจเป็นข้อต่อรองในช่วงที่ นายทักษิณ ชินวัตร ต้องกลับมาประเทศไทยมารับโทษ และบริหารจัดการหลังจากนั้น แต่เมื่อเวลานี้ นายทักษิณ ชินวัตร ได้พักโทษกลับบ้านเรียบร้อยแล้ว ทำให้ทุกอย่างเริ่มมีการเคลื่อนไหวที่ “ผิดสังเกต” ทันที อย่างน้อยที่เห็นก็คือ “ถนนทุกสาย” กำลังมุ่งที่บ้านของ นายทักษิณ ที่เรียกกันติดปากว่า “บ้านจันทร์ส่องหล้า” นั่นแหละ
เพราะแม้แต่ตัว นายเศรษฐา ทวีสิน เอง ก็ยังนั่งรถประจำตำแหน่งนายกฯเข้าเยี่ยมคารวะ นายทักษิณ ที่มี “สถานะเป็นนักโทษ” ลักษณะไม่ต่างจากการเข้าไปรายงานตัว และรับฟังโอวาท รวมไปถึงการพูดจาบางอย่างที่ต้องรู้กันสองคนเท่านั้น และเมื่อกลับออกมา หลังจากหารือเกือบสองชั่วโมงกับนักโทษที่อ้างว่า “ป่วยเข้าขั้นวิกฤต” ก็ยืนยันไม่ได้คุยกันเรื่องการเมืองแต่อย่างใด แต่คำถามก็คือ จะมีคนเชื่อหรือเปล่าเท่านั้นเอง
เมื่อวกมาที่การปรับคณะรัฐมนตรี ที่เชื่อว่า น่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคมนี้ โดยเฉพาะเดือนพฤษภาคม เพราะเป็นช่วงเวลาที่น่าจะเหมาะเจาะที่สุด ทั้งในเรื่องของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 68 มีเสร็จสิ้นมีผลบังคับใช้ ในเรื่องวาระของ ส.ว.ที่กำลังสิ้นสุด ทำให้การโหวตเลือกนายกฯคนใหม่ไม่ต้องพึ่งพาเสียง ส.ว.อีกต่อไป
อย่างไรก็ดี แต่ในช่วงระยะเวลาอันใกล้ นั่นคือในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้านี้ ความเป็นไปได้น่าจะออกมาในรูปของ การปรับคณะรัฐมนตรี” มากกว่า “ปรับนายกฯ” แต่น่าจะเป็นการ “ปรับหลายตำแหน่ง” พอสมควร เพราะสำหรับ นายเศรษฐา เวลานี้ถือว่ายังตื้อไปได้อีกสักพัก อย่างน้อยก็ต้องถึง 1 ปี จากนั้นค่อยมาประเมินกันใหม่
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงการเข้าพบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า เมื่อวันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ที่แม้จะยืนยันมาตลอดว่ามีนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว แต่ภาพดังกล่าวก็ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีนายกรัฐมนตรี 2 คน 3 คนว่า เรื่องการกล่าวถึง พูดถึง เป็นของแต่ละคน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการกระทำ
“วันนี้บอกว่าผมไม่ใช่นายกฯคนเดียว ก็ไม่ได้เปลี่ยนวิธีการทำงานของผม ซึ่งยังทำงานทุกวันเหมือนเดิม ยังลงพื้นที่ทำงานทุกวันเหมือนเดิม ผมห้ามการเปลี่ยนแปลง และวิธีคิดของคนไม่ได้ ก็ทำงานต่อไปไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้โกรธ น้อยใจหรืออะไรทั้งสิ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ตื่นเช้าไปทำงาน พรุ่งนี้ประชุม ครม. และลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กลับมาก็ลงพื้นที่ต่อ ที่จังหวัดศรีสะเกษและร้อยเอ็ด จากนั้นก็มีการประชุม ครม.ต่อในวันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม และวันจันทร์ที่ 4 มีนาคม ก็จะเดินทางไปประชุมอาเซียนออสเตรเลีย ก่อนเดินทางต่อไปที่เยอรมันและฝรั่งเศส ก็ยังทำงาน ห้ามไม่ได้ แต่ต้องยอมรับว่านี่คือสังคมไทย นายทักษิณก็เป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับความนิยมชมชอบสูงสุดคนหนึ่ง ผมเองก็ชื่นชอบท่าน นโยบายท่านก็ดี ถ้าท่านอยากให้คำปรึกษาผมก็พร้อมรับ เช่นเดียวกับอดีตนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ”
เมื่อถามว่า การเข้าพบครั้งที่ผ่านมาเป็นการเข้าเยี่ยม มีแผนที่จะเข้าพบเพื่อขอคำปรึกษาอีกหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่อยู่ในแผน แต่ก็มีรัฐมนตรีบางคนเข้ามาถามว่าจะเข้าไปเยี่ยมได้หรือไม่ ซึ่งตนก็บอกว่าตามสบาย แล้วแต่ท่านเลย เป็นผู้บังคับบัญชาเก่า เป็นนายเก่า ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ บางท่านมีประวัติยาวนานกว่าผมเยอะ รู้จักกันมา 20-30 ปีแล้ว ไม่เจอกันมา 10 กว่าปี ตามธรรมเนียมคนไทยต้องไปเยี่ยมเยียนกันบ้าง ไม่ได้คิดอะไร
เมื่อถามว่า วันก่อนนายกรัฐมนตรีบอกว่าจะได้เจอ พลเอก ประยุทธ์ ระหว่างร่วมงานพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลมาฆบูชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในงานวันดังกล่าว พลเอก ประยุทธ์ ไม่ได้ไปร่วมงานด้วย แต่หากได้เจอกันในงานพิธีก็มีการพูดคุยกัน ครั้งที่แล้วก็พูดคุยกันชั่วโมงกว่า
เมื่อถามว่า วันที่เข้าพบนายทักษิณ ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ได้พูดคุยเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรีหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ย้อนถามว่า “เรื่องอะไรนะครับ” พร้อมทำหน้านิ่งก่อนจะตอบว่า “คำถามนี้ผมว่าไม่ควรจะถามนะ เพราะนายทักษิณ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคณะรัฐมนตรี ผมก็ยืนยันตลอดเวลา พวกคุณก็ถามทุกวัน ถามทุกหนที่มีการถาม ผมก็บอกไปแล้ว คำตอบก็คือคำตอบเดิม จะพูดทำไมว่าปรับคณะรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีก็พยายามทำงานอยู่ แต่เมื่อพูดไป บางคนก็อาจจะนอยด์ บางคนก็อาจจะไม่สบายใจ ผมเชื่อว่าวันนี้เราต้องเดินหน้าทำงานกันดีกว่า เมื่อถึงเวลาต้องปรับ พวกท่านก็ทราบกันเองว่าต้องปรับและผมก็เป็นคนทูลเกล้าฯถวายเอง”
นั่นเป็นคำยืนยันจากปากของ นายเศรษฐา ทวีสิน หลายครั้งมาแล้ว ว่า ไม่มี หรือ “ยังไม่มี” แต่ก็อย่างว่าจะมีใครเชื่อสักกี่คน เพราะคนส่วนใหญ่เชื่อว่า คนที่มีอำนาจสั่งการที่แท้จริงคือใครกันแน่ ดังนั้นนาทีนี้ แม้ว่าจะฟังจากปากของ นายกฯคือ นายเศรษฐา ว่า ไม่ปรับคณะรัฐมนตรี แต่เมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวเข้าออกบ้านจันทร์ส่องหล้าที่กำลังคึกคัก ประกอบกับช่วงที่เวลาที่ผ่านมากว่า 6 เดือน มันก็เป็นจังหวะที่ต้องเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีบางคนกันได้แล้ว
เพราะเชื่อว่า มันอาจถึงเวลาจริงๆ บางคนผลงานไม่มี หรือเข้ามาเพราะโควตาในระดับท้องถิ่นที่ตอบแทนกัน อีกทั้งเพื่อให้มีประวัติเคยเป็นรัฐมนตรี ทำให้ต้องหมุนให้คนอื่นที่กำลังซอยเท้าอยู่เข้ามาแทนที่บ้าง ซึ่งความเป็นไปได้คราวนี้จะปรับหลายตำแหน่ง แต่สำหรับตัวนายกฯยังเชื่อว่าน่าจะอยู่ต่อไปอีกสักพัก เพื่อรอจังหวะ “นายกฯ ตัวจริง” คือ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ชื่อชั้นยังไม่ถึงขั้น ต้องรอไปก่อน เพราะถึงอย่างไรก็เป็นของตายอยู่แล้ว !!