ข่าวปนคน คนปนข่าว
**นะครับนะ "โจ๊ก" โลกสองใบอ๊ะป่าว! เดี๋ยวรู้เรื่อง เดี๋ยวไม่รู้เรื่องลูกน้อง
"โจ๊ก หวานเจี๊ยบ" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กำลังถูกสปอตไลต์ทุกดวงฉายส่องด้วยความสนใจ จากกรณีขยายผลคดี "มินนี่" น.ส.ธันยนันท์ สุจริตชินศรี สาวน้อยร้อยเว็บพนันออนไลน์ ที่มี "ลูกน้อง" เป็นพรวนของ "โจ๊ก" เข้าไปพัวพัน และ โยงมาถึงตัว รอง ผบ.ตร.โจ๊ก ลูกพี่ด้วย
นายตำรวจที่ปกติชอบ "หาแสง" แม้กระทั่งวันที่ "สมเด็จฮุนเซน" ประธานคณะองคมนตรีกัมพูชา อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เดินทางเข้าไปพบ "โทนี่" ทักษิณ ชินวัตร เกลอรักที่ "บ้านจันทร์ส่องหล้า" โจ๊ก ก็ยังอุตส่าห์ไปเอาแสงกับชาวบ้านแถวบางพลัด ในทำนองช่างบังเอิญจริงๆ ที่มาตรวจงาน ลงพื้นที่ สน.ละแวกนั้น เรียกว่า ไม่มีแสง ก็หาแสงใส่ตัวได้เสมอ แต่วันนี้แสงพุ่งเข้าหาตัวเต็มๆ
จะด้วยแสงแรงไปหน่อยหรือไม่..ไม่รู้ ทำให้ช่วงนี้ ใบหน้าและร่าง “โจ๊กและลูกน้อง” กลายเป็น "สีดำ" หมองคล้ำต้องตั้งโต๊ะเรียกนักข่าวมาฟังแถลงโต้แย้งชุดสอบสอบของ สตช. ถี่ๆ
อย่างเช่นล่าสุด ก็ตั้งโต๊ะตอบโต้ “บิ๊กเต่า” พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในฐานะคณะกรรมการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่งตั้ง เพื่อการสืบสวนคดีมินนี่ และรองหัวหน้าพนักงานสอบสวน ที่ให้สัมภาษณ์ดุเด็ดเผ็ดมัน ถึงความเชื่อมโยงของเครือข่ายเว็บพนันกับกลุ่มตำรวจลูกน้องโจ๊ก
ใจความที่ "โจ๊ก หวานเจี๊ยบ" แถลงอย่างไร ก็คงจะรับทราบกันไปบ้างแล้วตามสื่อต่างๆ
แน่นอน “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” บอกว่า นี่เป็นเกมการเมืองในองค์กรที่มุ่งด้อยค่าตัวเอง และลูกน้องหักพาล พร้อมยืนยันว่าตัวเอง "บริสุทธิ์100%"
ด้วยเหตุผลที่ยอมรับแบบสีข้างถลอกว่า "ลูกน้องทำผิด" หัวหน้าต้องรู้เรื่องด้วยหรือ ?
“โจ๊ก” อธิบายว่า ทุกอย่างเริ่มจากการเข้าตรวจค้นบ้านตัวเองในครั้งนั้น ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย แต่พบความเชื่อมโยงทางการเงินที่ "พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ" รอง ผกก.สส.สภ.สำโรงเหนือ หนึ่งในลูกน้องของตัวเองที่ถูกดำเนินคดี ซึ่งเป็นผู้ทำธุรกรรมให้ตัวเองด้วยบัญชีม้า หากลูกน้องทำผิดในฐานะหัวหน้า ก็ต้องรู้ แต่ตัวเองไม่ได้รู้ทุกเรื่อง และได้ต่อว่าพ.ต.ท.คริษฐ์ ไปแล้ว
นี่เป็นเหตุผลของ “รอง ผบ.ตร.โจ๊ก” ที่ปฏิเสธไม่มีส่วนรู้เห็นการกระทำของลูกน้อง เพื่อกันตัวเองออกจากการถูกกล่าวหาเชื่อมโยงกับเว็บพนันมินนี่
ไม่ว่ากัน นาทีนี้ในโลกใบนี้ “โจ๊ก” จะพูดอย่างไรก็ได้ แต่ต้องไม่ลืมว่า คำพูดว่าพูดออกไปแล้วเป็นนาย และต้องไม่ลืมว่า ชาวโซเชียลฯ เขาขุดค้น หาคลิปกันเก่ง คลิปเมื่อครั้งที่ “โจ๊ก” จะเอาผิดคนอื่นก็บอกว่า "ลูกน้องทำอะไร มีหรือหัวหน้าจะไม่รับรู้ "
สรุปว่า จะเอาผิดคนอื่นบอกว่า
คนเป็นลูกน้อง ..นะครับนะ
ถ้านายไม่รับรู้ ..นะครับนะ
ไม่มีใครกล้าทำแบบนี้หรอก
…นะครับนะ
พอเรื่องตัวเองที่เกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน และกำลังจะถูกเอาผิดบ้าง ก็บอกว่า..."ไอ้คริษฐ์ อยู่กับผมมา10 กว่าปีแล้ว ถามว่าทำไมไอ้คริษฐ์ ใช้บัญชีม้า ...ผมจะไปรู้ได้ไง ???!!!"
“พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” โปรดทราบ นี่เรื่องจริงไม่ใช่นิยาย รอง ผบ.ตร. โจ๊ก คนเดียวกันนี่แหละ พูดเรื่องเดียวกัน คนละเวลา แต่ไม่เหมือนกัน
แบบนี้เขาเรียกมีโลกสองใบอ๊ะป่าว...นะครับนะ!!
**คิดตามรอย “ฮุนเซน” ช่วงนี้ใครที่หิวแสง ก็ตรงดิ่งไปบ้านจันทร์ส่องหล้า
หลัง “ทักษิณ ชินวัตร” ได้รับการพักโทษ กลับมาอยู่บ้าน “จันทร์ส่องหล้า” ใครๆ ก็อยากเข้าพบ เข้าเยี่ยมเยียน โดยเฉพาะนักการเมืองในเครือข่ายพรรคเพื่อไทย ผู้ภักดีกับ “นายใหญ่”
แต่คนแรกที่บ้านจันทร์ส่องหล้าเปิดประตูต้อนรับ กลับเป็น “สมเด็จ ฮุน เซน” ประธานคณะองคมนตรีกัมพูชา และอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่เพิ่งส่งต่ออำนาจให้ลูกชาย “ฮุน มาเนต” รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
“สมเด็จฮุน เซน” นั่งเครื่องบินเช่าเหมาลำจากกัมพูชามาไทย และนั่งรถเบนซ์ป้ายแดงวิ่งตรงเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า เพื่อเยี่ยม “ทักษิณ” เพื่อนรัก ที่เคยอุดหนุน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมา และกินข้าวเที่ยงร่วมกัน โดยมี “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ลูกสาวคนเล็กของทักษิณ ร่วมวงด้วย
การพบกันของสองอดีตนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากสื่อและสังคมทั่วไปเป็นอย่างมาก แถมยังถูกตีความว่า คงไม่ใช่แค่มา “เยี่ยมคนไข้”เท่านั้น แต่น่าจะมีการหารือในเรื่องที่เป็นผลประโยชน์ระหว่างประเทศด้วย
นั่นคือ การเจรจาข้อตกลงเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา ที่หลายฝ่ายเชื่อกันว่า มีแหล่งก๊าซธรรมชาติ ที่เป็นขุมทรัพย์มหาศาลมูลค่าหลายล้านล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้ ช่วงที่นายกรัฐมนตรี “ฮุน มาเนต” มาเยือนไทยอย่างเป็นทางการ และได้เข้าพบ“เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ก็มีข่าวว่าได้หารือเรื่องนี้กันไปรอบหนึ่งแล้ว
เรียกว่าทั้งสองฝ่ายต่างต้องการนำขุมทรัพย์นี้มาพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศตนเอง เพื่อผลทางการเมืองในอนาคต
มีรายงานว่าในวันนั้น “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ก็ไปโผล่ที่หน้าบ้านจันทร์ส่องหล้าด้วยเช่นกัน นัยว่าไปตรวจราชการที่ สน.บางพลัด ก็เลยถือโอกาสไปตรวจความเรียบร้อยที่ในซอยจรัญสนิทวงศ์ 69 ด้วย
จนมีเสียงแซวตามหลังว่า ช่วงนี้ใครหิวแสง อยากรับแสง ก็ต้องมาที่บ้านจันทร์ส่องหล้า
ซึ่งดูเหมือนจะจริง เพราะก่อนหน้านั้น “วรัญชัย โชคชนะ” นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ก็โผล่ไปแปะจดหมาย ให้กำลังใจ “ทักษิณ” ที่หน้าประตูบ้านจันทร์ส่องหล้า แถมใช้โทรโข่งกล่าวแสดงความยินดี ยกย่องเชิดชู จนชาวบ้านหนวกหู รำคาญ เลยไปร้องเรียนสายตรวจ สน.บางพลัด ว่ามาส่งเสียงรบกวน ขอให้เชิญตัวออกไปด้วย
ล่าสุด ก็เป็นคิวของ “สันธนะ ประยูรรัตน์” อดีตตำรวจสันติบาล ที่เดินทางไปบ้านจันทร์ส่องหล้า บอกว่ามาขอเข้าพบ “ทักษิณ” เป็นการส่วนตัวตามที่ได้นัดหมายไว้ โดยอ้างว่า ก่อนหน้านี้ได้ทำหนังสือด่วน ถึง“แพทองธาร ชินวัตร” ตั้งแต่วันที่ 7 ก.พ. ที่ผ่านมา บอกว่าจะเข้ามาพบ “ทักษิณ” ในวันที่ 22 ก.พ.67
“สันธนะ” บอกว่าได้ส่งหนังสือล่วงหน้ามาแล้ว 15 วัน แม้จะไม่มีใครตอบรับหนังสือดังกล่าวก็ตาม แต่เมื่อถึงวันนัดหมาย ตนเองก็ต้องมาเพื่อไม่เป็นการผิดนัด
“สันธนะ” บอกว่าที่ต้องการหารือเป็นการส่วนตัวเพราะว่าตนเองกับทักษิณ มีหลายๆเรื่องที่คล้ายกันเลยอยากคุยด้วย อย่างเช่น “ทักษิณ” ไม่ได้กลับประเทศนาน 17 ปี ส่วนตัวเขาก็ถูกห้ามออกนอกประเทศมา 16 ปีแล้ว แต่เชื่อว่าช่วงที่ผ่านมา “ทักษิณ” คงได้ยินเรื่องราวของเขามาบ้าง และคงไม่ชอบหน้าเขาสักเท่าไร แต่เขาก็จะรอคำตอบว่าจะให้เข้าพบหรือไม่
แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่มีสัญญาณว่าบ้านจันทร์ส่องหล้า จะเปิดประตูต้องรับ “สันธนะ” บอกกับสื่อมวลชนว่าทาง พ.ต.ท.อรรถพล สินสืบผล รองผู้กำกับการสืบสวน สน.บางพลัด ได้โทรมาแจ้งกับเขาว่า ได้รับโทรศัพท์ประสานงานจากคนในบ้านจันทร์ส่องหล้า ว่า ไม่สะดวกที่จะให้เขาเข้าพบ “ทักษิณ” โดยไม่ได้บอกเหตุผล และไม่ได้บอกว่าสะดวกเมื่อไร วันไหน บอกแต่ว่าให้เลื่อนไปก่อน
“สันธนะ” บอกแค่เลื่อน แต่ไม่ได้ยกเลิก แล้วเขาจะพยายามติดต่อนัดหมายอีกครั้ง
สำหรับ “สันธนะ” ก่อนหน้านี้เขาก็เคยบุกไปที่ พรรคเพื่อไทย เพื่อเสนอตัวต่อ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ขอเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เพื่อให้คำปรึกษา แนะนำ เสนอความเห็นต่างๆในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาแล้ว