ข่าวปนคน คนปนข่าว
**“โจ๊ก”หนาวมั้ย!? “บิ๊กเต่า”ฟาดตรง “คดีมินนี่” ต้องกำจัด “ตำรวจสีดำ” ยันเส้นทางเงิน 300 ล้าน ไหลเข้า“ตัวใหญ่”!!
กรณี“โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.และลูกน้อง 8 นาย ถูกหาว่ามีเอี่ยวกับ “มินนี่” เว็บพนันออนไลน์ ถือเป็นประเด็นใหญ่ที่ถูกจับตาจากสังคมอย่างใกล้ชิด
“ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” ออกโรงปัดพัลวันเมื่อวันก่อนว่า ไม่ใช่เรื่องจริง เป็นเพียง“นิยาย” ที่ผู้ประพันธ์อยากจะเขียนให้ไปทางไหนก็ได้ พร้อมกับบอกว่า “ผมนี่แหละเป็นศัตรูตัวฉกาจของเว็บพนัน” ซึ่งไม่ทันไรก็โดน “จับโป๊ะ” เป็นศัตรูกันยังไง มีทั้งร่วมร้องคาราโอเกะคู่ “มินนี่” และ มีชื่อในการ์ดงานแต่ง “เมฆ รามา” กับ “หยาดทิพย์ ราชปาล” ดาราสาวชื่อดัง รับเชิญเป็นประธาน
เท่านั้นยังไม่พอ รองผบ.ตร. ยังสรุปนิยายเรื่องนี้มาจากเหตุ “ทะเลาะ”กันเองของตำรวจ!
นี่คือ ความเห็นของ “โจ๊ก” ส่วนจะรับฟังได้หรือไม่ ? ยังมีเครื่องหมายคำถาม
ที่แน่ๆ “บิ๊กเต่า” พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในฐานะ คณะกรรมการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่งตั้งเพื่อการสืบสวนคดีมินนี่ และรองหัวหน้าพนักงานสอบสวน เคลื่อนไหวให้สัมภาษณ์สื่อไว้ น่าสนใจ
จับประเด็นแล้วหนาวแทน “รอง ผบ.ตร.” เพราะ“บิ๊กเต่า” ยืนยัน“โจ๊ก”เป็น 1 ใน 5 ราย ที่ถูกแจ้งดำเนินคดี แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม เอี่ยวเว็บพนันมินนี่จากคดีหลัก ตามที่มีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้า
ส่วนที่ “โจ๊ก” โบ้ยเป็นเรื่องเกมการเมืองภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่การจับเว็บพนันมินนี่ โดยพบเจ้าหน้าที่ตำรวจไปเกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องเงินที่ประมาณ 200-300 ล้าน ตัวเองจึงปล่อยผ่านไม่ได้ เพราะทำให้เสียชื่อเสียงตำรวจ
งานนี้มีพยานหลักฐานที่ชัดเจน โดยมีการขอรายการเดินบัญชีธนาคารมาดูเส้นทางเงินไหลไปอย่างไร กลุ่มบุคคลที่ได้รับเงินจากบัญชีม้า ไหลลงไปเกือบถึงทุกคน บางคนเป็นญาติ ใช้เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวในชีวิตประจำวัน เงินส่วนใหญ่ใน 300 ล้าน เกินครึ่งไหลไปสู่ “ตัวใหญ่”
ย้ำชัดๆ ว่า เงินส่วนนี้จ่ายมาจากบัญชีม้า ที่รับมาจากเว็บพนันมินนี่ และเว็บอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในหลายๆเว็บจะรวมเป็นก้อน และไปสู่ข้างบนยอด รวมจากบัญชีม้า 4-5 บัญชี
ดังนั้นไม่ว่าจะคนขับรถ บัญชีม้า หรือ ตำรวจ ก็จะโดนคดีฟอกเงินทั้งสิ้น!
นี่ไม่ใช่เรื่อง “ทะเลาะกัน” แต่เป็นเรื่องจริงที่พบจากการสืบสวนสอบสวน และการกำจัด “ตำรวจสีดำ” นั้นเป็นสิ่งที่ดี ถึงแม้จะเป็นร้อย เป็นพัน ยืนยันชุดสอบสวนทุกคนยังมีกำลังใจที่ดี และต้องการทำคดีนี้เพื่อเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
งานนี้บอกเลยว่า “บิ๊กเต่า”ออกมาฟาดฟันตรงๆ ต้องกำจัด “ตำรวจสีดำ” แบบนี้ มีกองเชียร์ตรึม!
**ดรามาทักษิณกันเพลิน จนลืมเรื่องยุบพรรคก้าวไกล-ภูมิใจไทย ที่อยู่ในมือ กกต.
ช่วงนี้กระแสดรามาในหน้าสื่อ ทั้งสื่อหลัก สื่อโซเชียลฯ ชาวบ้านร้านตลาด กำลังวิพากวิจารณ์เรื่อง “ทักษิณ ชินวัตร” กับกระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน และเรื่องป่วยจริง หรือ ป่วยทิพย์ รวมทั้งการจัดพรอบเป็นผู้ป่วย ในวันออกจากโรงพยาบาลตำรวจนั้นดูไม่เนียน
เรียกว่า กระแสข่าวทักษิณ กลบเรื่องอื่นๆแทบมิด รวมทั้งเรื่องที่เคยเป็นประเด็นร้อนก่อนหน้านี้ อย่างเรื่อง “ตะวัน ป่วนขบวนเสด็จ” เรื่องยุบ “พรรคก้าวไกล” ที่จะแก้ ม.112 และยุบ “พรรคภูมิใจไทย” ที่เป็นเรื่องต่อเนื่องจากที่ศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินให้สถานภาพความเป็นรัฐมนตรีของ “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” อดีต รมว.คมนาคม และอดีตเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย สิ้นสุดลง
วันวาน (21ก.พ.) “ธีรยุทธ สุววรรณเกษร” ซึ่งเป็นคนเดียวกับผู้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้พิจารณาวินิจฉัยกรณี “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล และพรรคก้าวไกล กระทำการล้มล้างการปกครอง ก็เดินทางไป “ไขลานกกต.” โดยนำสำเนาคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ คดีพรรคก้าวไกล กระทำการล้มล้างการปกครอง ฉบับเต็ม ที่ศาลฯให้การรับรอง ไปยื่นให้กกต.และนายทะเบียนพรรคการเมือง เพื่อพิจารณายุบพรรคก้าวไกล โดยไม่ชักช้า
เพราะตามระเบียบกกต.ได้วางกรอบเวลาไว้ไม่เกิน 90 วัน นับแต่วันที่มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาไต่สวน ต้องมีคำวินิจฉัย ไปยื่นต่อศาลฯ เว้นแต่จะขอขยายเวลา หากข้อมูลพยาน หลักฐานยังไม่ครบถ้วนเพียงพอ
แต่ “ธีรยุทธ” เห็นว่าเรื่องนี้ กกต.ไม่ต้องเสียเวลาไปควานหาหลักฐาน หรือเชิญผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจงอีก เพราะทั้ง“พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกลในขณะนั้น และ“ชัยธวัช ตุลาธน” หัวหน้าพรรคก้าวไกลในขณะนี้ รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ตลอดจนฝ่ายความมั่นคง ได้ชี้แจงข้อมูลกับศาลรัฐธรรมนูญไปครบถ้วนกระบวนความแล้ว
ในคำวินิจฉัย ศาลฯ ยังยกเหตุการณ์ที่สมาชิกพรรคก้าวไกล ไปปรากฏตัว ทำกิจกรรมร่วมกับกลุ่มเยาวชน แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่เป็นเครือข่ายเดียวกัน ก่อนจะมีคำวินิจฉัยออกมา ว่า การเสนอแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลนั้น เป็นการล้มล้างการปกครอง
หาก กกต.ได้อ่านข้อมูล คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ได้วางบรรทัดฐานไว้โดยละเอียดแล้ว ก็สามารถสรุปเรื่องได้เลย ไม่จำเป็นต้องเรียกผู้ถูกกล่าวหามาสอบอีก
นอกจากนี้ “ธีรยุทธ” ยังได้ยื่นคำร้องขอให้ตรวจสอบการรับเงินบริจาคของพรรคภูมิใจไทย จากห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ซึ่งตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ คดีการถือหุ้นโดยไม่ชอบของ “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงนั้น เนื่องจากเห็นว่า อาจเป็นเงินที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นเหตุให้เข้าข่ายยุบพรรคภูมิใจไทย ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92 (3)
เรื่องคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีของ “ศักดิ์สยาม” ที่จะนำไปสู่การยุบพรรคภูมิใจไทย ก็เพราะว่า ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ระบุชัดว่า “ศักดิ์สยาม” ยังคงเป็นผู้ถือหุ้น ในห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญคอนสตรัคชั่น และการที่ห้างหุ้นส่วนดังกล่าว นำเงินมาบริจาคให้กับพรรคภูมิใจไทย ในปี 2565 มากถึง 6 ล้านบาทนั้น อาจเป็นเงินที่ได้มาโดยมีเจตนาลวง ซ่อนเร้น หรือนิติกรรมอำพราง ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ หมวด 9 ว่าด้วยการขัดกันแห่งผลประโยชน์ มาตรา 187 จึงมีผลให้เงินที่บริจาคให้กับพรรคภูมิใจไทยนั้น อาจเป็นเงินที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่า มีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ซึ่งตามมาตรา 72 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง กำหนดห้ามมิให้พรรคการเมือง และผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมือง รับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้ หรือควรจะรู้ว่า ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่า มีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เรื่องลักษณะเช่นนี้ เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับ พรรคอนาคตใหม่ ในยุคที่ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” เป็นหัวหน้าพรรค ได้ปล่อยเงินกู้ให้กับพรรค ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานไว้แล้วว่า...
การกู้ยืมเงินของพรรคอนาคตใหม่ มีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยง การรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดตาม มาตรา 66 เมื่อการรับบริจาคดังกล่าวต้องห้าม จึงเป็นการรับบริจาคเงิน โดยรู้ หรือควรรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 กรณีจึงถือได้ว่าพรรคอนาคตใหม่ กระทำการฝ่าฝืน มาตรา 72 และ เป็นเหตุสั่งให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ ตามมาตรา 92
พูดง่ายๆว่า ศาลฯสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ในครั้งนั้น เพราะเงินมีแหล่งที่มาโดยมิชอบ
เช่นเดียวกับกรณีของ “ศักดิ์สยาม” ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่า มีการซ่อนเร้น ปิดบัง การบริจาคเงิน ทั้งที่กฎหมายได้วางแนวไว้ว่า ห้าม นิติบุคคลใดที่มีความเกี่ยวข้อง เชื่อมโยงกับรัฐมนตรี อาจนำไปสู่การขัดกันแห่งผลประโยชน์ เพื่อรักษาไว้ซึ่งความสุจริตในการบริหารราชการ
หาก กกต.นำคำวินิจฉัย กรณีของพรรคอนาคตใหม่ มาเทียบเคียงกับกรณีของพรรคภูมิใจไทย ก็อาจจะช่วยร่นเวลา หรือไม่ต้องไปรอคำชี้แจงของหน่วยงานอื่นๆ เช่น การรับงานของ หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น เป็นการฮั้วประมูลหรือไม่ และมีการนำเงินที่เกิดจากการกระทำความผิดนั้น มาบริจาคให้พรรคการเมืองหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะเกิดความล่าช้า
เพราะในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ได้ระบุเอาไว้แล้วว่า แหล่งที่มาของเงิน ที่หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ที่นำมาบริจาคให้กับพรรคภูมิใจไทยนั้น มิชอบด้วยกฎหมาย
แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอที่ กกต.จะวินิจฉัยได้แล้ว
ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าหลังจากมีการ “ไขลาน กกต.” เรื่องยุบพรรคก้าวไกล กับพรรคภูมิใจไทย จะเดินได้รวดเร็วแค่ไหน