“รอง ผบก.” คู่ปรับ “บิ๊กโจ๊ก” ร้อง บก.ปปป.สอบกรณีอนุฯ ป.ป.ช.- กรรมการ ป.ป.ช. ปฎิบัติ-ละเว้นปฎิบัติโดยทุจริต สั่งยุติเรื่อง “บิ๊กโจ๊ก” เรียกรับส่วยคาราโอเกะอีสาน แฉทำเป็นขบวนการ พร้อมชงดึงคดีกลับมารื้อใหม่ ตามอายุความที่เหลือ 2 ปี
วันนี้ (3 ก.พ.) พ.ต.อ.กฤษณะพงษ์ กัญจน์ชัยกิจ รองผู้บังคับการกองร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ เปิดเผยว่า ตนได้เข้าพบพนักงานสอบสวน กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เพื่อร้องเรียนให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีอนุกรรมการในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (อนุฯ ป.ป.ช.) และกรรมการ ป.ป.ช. มีความเห็นยุติเรื่องสำนวนการร้องทุกข์กล่าวโทษ กรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ในขณะมียศเป็น พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตำแหน่งผู้กำกับการ 3 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) และพวก เรียกรับส่วยร้านคาราโอเกะ ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อปี 2553
พ.ต.อ.กฤษณะพงษ์ กล่าวต่อว่า คดีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และพวก ถูกกล่าวหาว่า เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต เป็นเจ้าพนักงานใช้ตำแหน่งโดยมิชอบฯ กรรโชกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148, 157 และมาตรา 337 และความผิดตามพระราชบัญญัติการฟอกเงิน อันเป็นฐานความผิดจากการปฎิบัติหน้าที่และละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติประมวลรัษฎากร แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กลับวินิจฉัยสำนวนไต่สวนข้อเท็จจริง โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมีความเห็นยุติเรื่องสำนวนการร้องทุกข์กล่าวโทษ โดยมีการปฏิบัติหน้าที่ และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต อันเป็นการใช้ดุลยพินิจตามอำเภอใจ มีลักษณะละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และปฏิบัติหน้าที่เพื่อช่วยเหลือผู้ถูกกล่าวหาไม่ให้ต้องได้รับโทษหรือได้รับโทษน้อยลง อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา มาตรา 20 วรรคหนึ่ง และมาตรา 157 และละเว้นไม่ดำเนินคดีในความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง จึงร้องเรียนต่อ บก.ปปป.ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง
“ถือว่าทั้งอนุกรรมการ และกรรมการ ป.ป.ช.ละเว้นไม่ดำเนินคดีความผิดอาญาแผ่นดินตามพระราชบัญญัติการฟอกเงิน ทั้งยังเป็นความผิดฐานปกปิดช่วยเหลือผู้กระทำความผิดมูลฐานฟอกเงิน รวมทั้งร้องขอให้ดำเนินคดีกับกระบวนการช่วยเหลือกลุ่มผู้ถูกกล่าวหากับพวก โดยมีข้อมูลจากสำนวนการสืบสวนของจเรตำรวจแห่งชาติ ดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหากับพวก” พ.ต.อ.กฤษณะพงษ์ กล่าว
พ.ต.อ.กฤษณะพงษ์ ขยายความด้วยว่า เรื่องนี้มีการกระทำความผิดเป็นขบวนการ มีความยุ่งยากซับซ้อน เพราะผู้กระทำความผิดเกี่ยวพันกันหลายองค์กรเพื่อช่วยเหลือปกปิดการกระทำความผิด โดยมีการแบ่งงานกันทำ เริ่มตั้งแต่การไต่สวนข้อเท็จจริงที่กระทำโดยทุจริต ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การบังคับให้ นายเขตสยาม เนาวรังสี ผู้เสียหาย ถอนเรื่องร้องเรียน การเสียชีวิตของผู้เสียหายแบบมีข้อพิรุธ เมื่อมีผู้ร้องเรียนการขอรื้อคดี มีการช่วยเหลือดำเนินคดีกับผู้ขอรื้อคดีโดยไม่ชอบ มีการใช้ดุลยพินิจตามอำเภอใจของพนักงานอัยการเพื่อดำเนินคดีกับผู้ขอรื้อฟื้นคดี มีการประวิงเวลาให้อายุความการ ดำเนินคดีของผู้ถูกกล่าวหากับพวกให้เหลือน้อยลงยากแก่การดำเนินคดี กระทั่งมาถึงในชั้น ป.ป.ช.ที่กล่าวไปข้างต้น
พ.ต.อ.กฤษณะพงษ์ เปิดเผยด้วยว่า สำหรับผู้ที่ตนร้องเรียนให้ บก.ปปป.ตรวจสอบ ประกอบด้วย คณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่มีมติเห็นชอบตามที่อนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง ป.ป.ช.มีความเห็นเสนอ
การยุติเรื่องร้องเรียน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และพวก รวมไปถึงอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง ได้แก่ นายสุรศักดิ์ ศรีวิเชียร กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะประธานอนุกรรมการ, นายยุทธภูมิ เทพหัสดิน ณ อยุธยา
อนุกรรมการและเลขานุการ, นายจรงค์ เกราะเหมาะ
อนุกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ, นายพิพิธ สุขเกษม
อนุกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ และ นายนิติ จันทวงษ์
อนุกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ นอกจากนี้ ยังขอให้ดำเนินคดีกับขบวนการที่ร่วมกัน และสนับสนุนการกระทำความผิดด้วย
“และยังขอให้ บก.ปปป.มีหนังสือแจ้ง สำนักงาน ป.ป.ช. ขอรับสำนวนไต่สวนข้อเท็จจริงในคดีส่วยคาราโอเกะคืนมาเพื่อให้ บก.ปปป.ดำเนินคดีเอง หากมีการรื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่ ภายในอายุความที่เหลือราว 2 ปี เนื่องจาก บก.ปปป. เป็นผู้รับผิดชอบคดีเรื่องเดิม และมีข้อมูลอยู่แล้ว จึงมีสิทธิที่จะดำเนินการต่อไปได้โดยไม่ขัดกับกฎหมาย” พ.ต.อ.กฤษณะพงษ์ ระบุ