“อดีตบิ๊ก ศรภ.” โต้ “ไอติม” ชี้แจงการกระทำของพรรค-ส.ส.ก้าวไกลไม่ล้มล้างการปกครอง เตือน สถาบันฯกับประชาชนเป็นจุดแข็งไทยที่เหลืออยู่ “หมอวรงค์” ชี้ ผิดคือผิดถูกคือถูก คดีก้าวไกลล้มล้างการปกครอง ไม่มีอะไรต้องกลัว
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้(29 ม.ค.67) พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เพจเฟซบุ๊กส่วนตัว พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์ ระบุว่า
“ก้าวไกล เอาสถาบันฯไปหาเสียงจริง ตามฟ้อง หรือเปล่า
กรณีที่มีผู้ไปยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวหาพรรคก้าวไกลที่เสนอ ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่…) พ.ศ…..มีจุดประสงค์ที่จะยกเลิก ม.112 โดยใช้เป็นนโยบายการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่ง คดีนี้จะเข้าสู่การพิจารณาใน 31 มกราคมนี้
คุณ ไอติม โฆษก พรรคก้าวไกล ได้ระบุว่า (1) พรรคก้าวไกล หรือ ส.ส.พรรคก้าวไกล ไม่มีการกระทำใดที่เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง โดยไม่ได้ระบุว่า เรื่องอะไร แต่เมื่อโฆษกพรรค พูดถึงเรื่องนี้อยู่ ก็น่าจะหมายความถึงเรื่อง ม.112 นั้นเอง ซึ่งกรณีนี้ช่างกล้าพูดออกมาได้อย่างไร เมื่อหันกลับไปดูเรื่องเดิมๆ หรือ ไอติมในฐานะโฆษกพรรคเพิ่งเข้ามาอยู่ใหม่
(2) ร่างกฎหมายใดๆไม่สามารถเข้าสู่การล้มล้างการปกครองได้ เพราะยังมีการพิจารณาอีกหลายขั้นตอน ซึ่งผมก็ว่าไม่จริงอีก เพราะ เมื่อมาพิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่พรรคก้าวไกลเกี่ยวข้องกับ ม.112 แล้วนั้น พอสรุปได้ดังนี้
พรรคก้าวไกล หรือ ส.ส. พรรคก้าวไกล เคยใช้ ม.112 ออกมาหาเสียงแน่นอน แต่จะเข้าข่ายตามมาตรฐานของศาล หรือเปล่า เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ในร่าง พ.ร.บ.ของพรรคก้าวไกล จะเขียนว่า "ร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา...." แต่ในมาตรา 4 ของร่างฯ เขาเขียนไว้ชัดเจนว่า "ให้ยกเลิกมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญาซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่4ลง21ต.ค.19 ซึ่งสามารถที่จะขอแก้ไขเฉพาะข้อความได้ โดยไม่ต้องยกเลิก แต่ทำไมต้องใช้คำว่า “ยกเลิก”
(3) ยังมีสาระสำคัญ ที่จะเสนอให้มีการแก้ไขอีกมาก เช่น (1)กำหนดให้ลดโทษตาม ม.112 ลงเหลือไม่เกิน 1 ปี สำหรับพระมหากษัตริย์ โดยไม่มีโทษขั้นต่ำด้วย และยังสามารถยอมความกันได้อีก (กฎหมาย ม.112 นี้ เป็นกฎหมายในหมวดความมั่นคง พระมหากษัตริย์ไม่ใช่คู่กรณีกับผู้กระทำความผิด) กรณีนี้ ทางพรรคก้าวไกลจึงพยายามขอแก้ไขให้ย้าย ม.112 จากหมวดความมั่นคง ไปสู่หมวดอื่น และยังห้ามประชาชนไปฟ้องร้องแทนอีกด้วย โดยเปลี่ยนไปเป็นสำนักพระราชวังเป็นผู้ฟ้องแทน นอกจากนั้นยังเพิ่มเหตุที่ทำให้ ไม่ต้องรับโทษเข้าไปอีก ซึ่งเป็นการกระทำโดยไม่เข้าใจเลยว่า กฎหมาย ม.112นี้ เป็นต้นแบบการคุ้มครองสิทธิ ของเอกอัครราชทูตประเทศต่างๆ ตำรวจ ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ ศาล องค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งจะต้องมีการแก้ไขถึงขนาดนี้ กระทบต่อกันไปเป็นลูกระนาด แม้แต่สิทธิ ส.ส.เอง
(4) คดีนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของคุณพิธา แบบคดีที่แล้ว แต่เป็นคดีที่จะส่งผลกระทบต่อประเทศชาติ เป็นส่วนรวม
- ผลการพิจารณาของศาล คนเขียนกันไว้แยะแล้ว ก็คงปล่อยให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินเอง ซึ่งก็ไม่น่าตัดสินยากเลยครับ
ถ้าไม่เข้าไปยุ่งกับพระองค์ ใครจะเดือดร้อนจากกฎหมายนี้ สถาบันฯกับประชาชนนั้น เป็นจุดแข็งเพียงเรื่องเดียวที่ประเทศไทยยังเหลืออยู่ ครับ ต้องช่วยกันดูแลหน่อยครับ”
ขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก วรงค์ เดชกิจวิกรม - Warong Dechgitvigrom ของ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“#คดีพรรคก้าวไกลเรื่องล้มล้างฯไม่มีอะไรต้องกลัว
ผมเห็นโฆษกพรรคก้าวไกล ออกมาตีโพยตีพายว่า การยื่นร่างแก้ไขของพรรคก้าวไกลต่อสภาที่ผ่านมา ซึ่งนายพิธาและพรรคก้าวไกล ได้นำมาขยายผลในช่วงหาเสียงว่า จะเดินหน้าแก้ไขมาตรา112 ว่าไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง
เอาง่ายๆ ผมอยากให้พี่น้องลองไปค้นร่าง ที่พรรคก้าวไกลเคยเสนอสภา และตอนนี้ร่างนี้ยังอยู่ในสภา ยังไม่ได้ถูกถอดถอนออกมา ในร่างที่เสนอแม้ชื่อร่างจะเขียนว่า "ร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา...." แต่ในมาตรา4 ของร่างเขา เขียนไว้ชัดเจนว่า "ให้ยกเลิกมาตรา112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา...."
นี่ยังไม่นับรวมสาระสำคัญ หลายๆรายการที่มีการแก้ไข เช่น การลดโทษเหลือไม่เกิน1ปี สำหรับพระมหากษัตริย์ และไม่เกิน6เดือนสำหรับพระองค์อื่นๆ โดยไม่มีโทษขั้นต่ำ ที่สำคัญคือการยอมความกันได้ การย้ายจากหมวดความมั่นคง ไปสู่หมวดใหม่ ห้ามประชาชนไปร้อง ต้องเป็นสำนักพระราชวัง รวมทั้งมีเหตุไม่ต้องรับโทษ ท่านแน่ใจหรือว่า นี่ไม่ใช่การล้มล้างแบบแยบยล ค่อยๆเซาะกร่อน ทำลายช้าๆ สามารถเล็งเห็นผลได้ในระยะยาว
ผมอยากให้พี่น้องใช้สามัญสำนึก ไตร่ตรองดูว่า ทำไมพรรคก้าวไกล จึงอยากยกเลิกมาตรา112 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้การปกป้อง คุ้มครอง สถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อให้สถาบันฯ เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาติ เพราะอะไรเขาจึงเอาเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องดำเนินการ
การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญจะสำคัญมาก ถ้าศาลชี้ว่าไม่ล้มล้างฯ คนเหล่านี้พร้อมเครือข่ายคงได้ใจ และกล้าออกมาขย่มสังคมไทยเต็มที่ เพราะได้รับคำรับรองจากศาลรัฐธรรมนูญ สังคมไทยอาจถึงจุดที่ทนไม่ได้ก็ได้ อะไรก็เกิดขึ้นได้
แต่ถ้าศาลชี้ว่าล้มล้างฯ บางคนกังวลว่า เขาจะไปปั่นกระแสว่าถูกกลั่นแกล้ง การเลือกตั้งครั้งใหม่จะมาถล่มทลาย ผมกลับมองว่า ถ้าเรายึดหลักกฎหมายที่ดี จะไปกลัวอะไร ผิดคือผิด ถูกก็คือถูก ขอให้บังคับใช้กฎหมายแบบตรงไปมา ประเทศก็จะอยู่รอดได้ ที่มีปัญหาวันนี้ เพราะไปกลัวจนไม่บังคับใช้กฎหมาย”