“ไทย-เยอรมนี” แถลงร่วมผลักดันความร่วมมือ “เศรษฐา” ชู ศก.หมุนเวียน-แลนด์บริดจ์ ยกระดับขนส่งโลจิสติกส์ เตรียมเยือนเยอรมนี มี.ค. ยันจุดยืนการเมืองยึดเป็นกลาง ไม่หนุนขัดแย้ง ปธน.เยอรมนี ชี้ สัญญาณดีหลัง “พิธา” รอดคดี สื่อไทยมีพื้นฐาน ปชต. ชี้ ประชาคมโลกเฝ้าดู มีความหวังช่วงเปลี่ยนผ่าน
วันนี้ (25 ม.ค.) เวลา 11.45 น. ที่ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง และ ดร.ฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ ประธานาธิบดีสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ร่วมกันแถลงข่าว
นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสให้การต้อนรับนายฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ ประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและภริยา ระหว่างการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยการเยือนครั้งนี้ เป็นการเยือนของประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีครั้งแรกในรอบ 22 ปี ทั้งนี้ ประเทศไทยและสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี มีความสัมพันธ์ระหว่างกันที่ยาวนานถึง 162 ปี โดยเยอรมนีเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทยในสหภาพยุโรปและไทยเป็นคู่ค้า อันดับที่ 3 ของเยอรมนีในอาเซียน ทั้งสองประเทศจึงเป็นพันธมิตรที่เกื้อกูลกันและกันมาตลอด วันนี้ไทยและเยอรมนีต่างเห็นพ้องต่อการกำหนดเป้าหมายในการยกระดับความสัมพันธ์สู่การเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์
นายเศรษฐา กล่าวว่า นอกจากนี้ ตนได้หารือกับประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีในหลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญกับประเด็นการส่งเสริมความร่วมมือไทย-เยอรมนี ในด้านความยั่งยืน การรับมือกับภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนผ่านพลังงาน เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2065 โดยเยอรมนีพร้อมให้การสนับสนุนไทยด้านเทคโนโลยีการผลิตพลังงานทดแทนเพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้าเป็นร้อยละ 50 ภายในปี ค.ศ. 2040 รวมถึงขยายการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของเยอรมนีในไทย เพื่อให้ไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในระดับภูมิภาค นอกจากนี้ เยอรมนีจะส่งเสริมการทำการเกษตรแบบยั่งยืนที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในไทยอย่างต่อเนื่องและให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5
นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า ตนยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ได้นำคณะภาคเอกชนเยอรมนีร่วมเดินทางมาในครั้งนี้ด้วย ซึ่งตนได้แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพด้านเศรษฐกิจของไทยและโอกาสใหม่ๆ สำหรับภาคเอกชนเยอรมนีหลังจากที่ไทยกับสหภาพยุโรปสามารถบรรลุการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรีได้สำเร็จ ซึ่งได้ตั้งเป้าหมายไว้ภายในปี 2568 นอกจากนี้ตนยังได้แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายการส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมทั้งโครงการ แลนด์บริดจ์และโครงการยกระดับการขนส่งระบบรางและโลจิสติกส์ของไทย การส่งเสริม Ease of Doing Business รวมทั้งการสร้างทรัพยากรมนุษย์
นายเศรษฐา กล่าวว่า โดยการเพิ่มพูนความร่วมมือด้านอาชีวศึกษาระหว่างกัน ในโอกาสนี้ ภาคเอกชนเยอรมนีได้แสดงความสนใจที่จะเข้ามาประกอบการในไทยในด้านงานสินค้านานาชาติและการรีไซเคิลและการผลิตเม็ดพลาสติกจากขยะ นอกจากนี้ ภาคเอกชนได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการของภาคเอกชนเยอรมนีในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลจะนำไปพิจารณาเพื่อดึงดูดการลงทุนจากเยอรมนีต่อไป และอีกประเด็นสำคัญที่ตนได้หารือกับประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีคือ การส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวชาวไทยและเยอรมันเดินทางไปมาหาสู่กันได้ง่ายขึ้น ซึ่งประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวชาวเยอรมัน โดยปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันเดินทางมาไทยประมาณ 7 แสนคน ทั้งนี้ ชาวเยอรมันได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา 30 วันอยู่แล้ว ตนจึงได้ขอให้ฝ่ายเยอรมนีสนับสนุนไทย ให้สามารถบรรลุการเจรจากับสหภาพยุโรปเพื่อขอยกเว้นตรวจลงตราสำหรับการเดินทางเข้าเขตเชงเกนให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาไทยด้วย
นายกฯ กล่าวอีกว่า ในช่วงเย็นวันเดียวกันนี้ ประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และภริยา มีกำหนดเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี สำหรับวันที่ 26 ม.ค. ประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี จะเดินทางไปจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อเยี่ยมชมโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำไฮบริดที่เขื่อนสิรินธร ซึ่งผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังน้ำใหญ่เป็นอันดับต้นของโลกและโครงการเกษตรยั่งยืนที่เป็นความร่วมมือระหว่างเยอรมนีกับไทย รวมทั้งเยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติผาแต้ม ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่เป็นที่นิยมของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ
“ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีในครั้งนี้ จะเป็นการเปิดศักราชใหม่ของการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือระหว่างไทยกับเยอรมนี ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือที่ใกล้ชิดและเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย โดยเฉพาะในด้านยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานสะอาด เศรษฐกิจหมุนเวียน และความร่วมมือในด้านอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้ประเทศไทยกับเยอรมนีมีความร่วมมือในทุกมิติที่แน่นแฟ้นมากขึ้น โดยในห้วงเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ ผมมีกำหนดที่จะเดินทางเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีอย่างเป็นทางการ เพื่อสานต่อและผลักดันความร่วมมือระหว่างกัน อันจะนำไปสู่การสถาปนาความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกันต่อไป” นายกฯ กล่าว
ด้าน ประธานาธิบดีสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี กล่าวว่า ตนไม่ได้เยือนไทยเป็นเวลานานแล้ว และตนมีความตั้งใจที่จะมาเยือนไทยสักระยะแล้ว วันนี้ดีใจที่ได้มาเยือน ขอบคุณนายกฯและประเทศไทยสำหรับคำเชิญและคำต้อนรับอย่างอบอุ่น ซึ่งตนไม่ใช่ตัวแทนคนแรกของประเทศเยอรมนี ที่เดินทางมาประเทศไทย ซึ่งความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ ไม่ได้เพิ่งเริ่มต้น แต่มีประวัติศาสตร์ ยาวนานกว่า 160 ปีแล้ว ซึ่งเดิมเคยทำสัญญาการค้าระหว่างกัน การสำรวจเส้นทางการเดินเรือทางทะเล ช่วงเวลานี้ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ประเทศไทยเพิ่งผ่านการเลือกตั้งซึ่งมีคนไทยออกมาใช้สิทธิถึง 75% เป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงความเข้มแข็งในระบอบประชาธิปไตย ในโอกาสนี้จึงขอกล่าวแสดงความยินดีกับการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และอวยพรให้สมัยของท่านเป็นสมัยที่ประสบความสำเร็จ และยินดีที่จะได้ความร่วมมือของทั้งสองประเทศให้ก้าวต่อไปได้ และเป็นการร่วมมือพัฒนาภาคีเครือข่าย
ประธานาธิบดีสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี กล่าวอีกว่า เยอรมันเป็นผู้ค้ายุโรปที่สำคัญที่สุดของไทย ซึ่งในปีที่ผ่านมามีมูลค่าการค้าถึง 14,000 ล้านยูโร ซึ่งไทยมีคนเยอรมันที่ดำเนินการอยู่ในประเทศไทยจำนวนมาก สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และแลกเปลี่ยน รวมถึงได้พูดคุยถึงทำเลที่ตั้งที่ดีของไทย ความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นของทั้งสองประเทศเป็นเพียงมิติหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงความสัมพันธ์ระดับประชาชนผ่านการเดินทางย้ายถิ่นฐาน อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เติบโต ซึ่งมีคนเดินทางมาท่องเที่ยวและใช้เวลาอยู่หลายเดือน ชาวเยอรมันกว่า 35,000 คนตัดสินใจที่จะพำนักอยู่ที่ประเทศไทย เช่นเดียวกับคนไทย 60,000 คน ที่อาศัยอยู่ในเยอรมนี
ประธานาธิบดีสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี กล่าวว่า ในวันที่ 26 ม.ค. มีกำหนดการเยี่ยมชมโครงการปลูกข้าวอย่างยั่งยืนให้กับเกษตรกรรายย่อยในไทย นับเป็นหนึ่งในโครงการความร่วมมือที่ยังดำเนินการภายใต้แผนภูมิอากาศสากล ที่เยอรมนีเป็นภาคีเครือข่าย ยินดีที่ไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิก International climate Change Club ที่จะเข้ามาร่วมปกป้องสภาพอากาศ นอกจากนี้ทั้ง 2 ประเทศยังมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนสู่อากาศสะอาด แล้วจะไปที่เขื่อนสิรินธรเพื่อดูเทคโนโลยี ซึ่งจะสนับสนุนอากาศสะอาดลงทุนโดยประเทศเยอรมนีและเยี่ยมชมโรงงาน Mercedes Benz ใช้พลังงานสะอาด คาดว่า จะเติบโตสูงขึ้นในอนาคต ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เราสามารถเป็นพันธมิตรกันได้อย่างต่อเนื่องและเหนียวแน่น เพราะตอนนี้เรายังเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับการลงทุนในไทย โดยเฉพาะเงื่อนไขการประกันสินเชื่อ และเศรษฐกิจของประเทศไทยต่างได้รับการยอมรับในมุมมองของนักลงทุนเยอรมันมาตลอด เชื่อว่าการลงทุนในส่วนนี้จะเติบโตต่อไป
ดร.ฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ กล่าวว่า ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างสหภาพยุโรปและประเทศไทย เราได้ให้การสนับสนุนในเรื่องของการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี เชื่อว่า ทั้งสองประเทศจะบรรลุข้อตกลงในระยะเวลาอันใกล้ น่าจะโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องการขยายต่อไปสำหรับสหภาพยุโรป มีโครงการชื่อ Global Gateway มีศักยภาพในการเข้ามาช่วยเหลือโครงการโครงสร้างพื้นฐานในอนาคตที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายเส้นทางคมนาคมระหว่างประเทศในภูมิภาคนี้ โดยจะมีรายละเอียดความร่วมมือในไม่ช้า ทั้งนี้ทำเลทางที่ตั้งของไทยเป็นที่ดึงดูดของเยอรมัน และตลาดการค้าเป็นที่น่าสนใจ รวมถึงจุดยืนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัจจัยเหล่านี้ ทำให้เรามีความร่วมมือที่ประสบความสำเร็จ
ดร.ฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ตนและนายกรัฐมนตรีของไทย หารือถึงบทบาทสำคัญในภาคประชาสังคม ที่เราแลกเปลี่ยนทัศนะ โดยตนยินดีสำหรับข่าวคำพิพากษาของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล คิดว่า คำพิพากษาที่ออกมาเป็นสัญญาณที่ดีของการดำเนินไปในทิศทางที่ดีของประเทศไทย นอกจากนี้ ยังพูดถึงวิกฤตการณ์ความขัดแย้งภูมิภาคต่างๆ ในโลก และบทบาทต่างๆ ที่เราจะมีท่าทีต่อความขัดแย้งต่างๆ ได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการแถลงข่าวร่วมกันระหว่าง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง และ นายฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ (H.E. Dr. Frank-Walter Steinmeier) ประธานาธิบดีสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนซักถามโดยผู้สื่อข่าวต่างประเทศถามถึงการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลไทยที่กลับมาเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะมีการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างไร โดยเฉพาะกับเยอรมนี นายกฯ กล่าวว่า จริงๆ เป็นที่ประจักษ์จากการที่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมา 4 เดือน ได้เดินทางไปต่างประเทศเยอะ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้เดินทางไปที่ดาวอส สมาพันธรัฐสวิส เพื่อร่วมประชุม ได้เจอนักธุรกิจชั้นนำทั่วโลก รวมถึงนายกรัฐมนตรีเบลเยียม และ นิวซีแลนด์ ประธานสหภาพ EU เราประกาศชัดเจน เราเปิดสำหรับการทำธุรกิจแล้ว โดยเดือนมีนาคม จะเดินทางไปเยือนทวิภาคีกับรัฐบาลเยอรมนีอีกครั้ง
ด้าน ประธานาธิบดีเยอรมนี กล่าวว่า คำถามนี้พูดถึงอุปสรรคความร่วมมือ ซึ่งเป็นเพียงอดีตในช่วงที่ผ่านมา และในช่วงสถานการณ์การเมืองที่อาจมีความไม่สงบเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เราไม่สามารถคาดการณ์ได้ ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นต่อจากนี้ แต่ตนเชื่อว่า หลังการเลือกตั้ง ที่ผ่านมา เรามองเห็นแนวทางเชิงบวกในการพัฒนาความร่วมมือระหว่างกัน และในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เราเห็นแนวทางที่จะสร้างความเชื่อมั่นของนายกฯเศรษฐา เยอรมนี และประชาคมทั่วโลกไม่เพียงแค่เฝ้าดูสถานการณ์ แต่มีความคาดหวังในการเสริมสร้างความร่วมมือ ในช่วงการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสำคัญ ที่เราไม่อาจตั้งความคาดหวัง ให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างรวดเร็ว ต้องใช้เวลาโดยปัจจัย ที่มีความสำคัญคือ เสถียรภาพ การแสดงออก และคำพิพากษาของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ซึ่งถือเป็นหนึ่งในผู้นำฝ่ายค้าน และแสดงให้เห็นว่า ประเทศไทย มีพื้นฐานของระบบประชาธิปไตย ที่มีเสถียรภาพในการแสดงออกที่เกิดขึ้น
ด้าน นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน และตลอดเวลาที่รัฐบาลนี้เข้ามาบริหารประเทศ ได้ให้สิทธิเสรีภาพที่เหมาะสม อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย และสนับสนุนด้านนี้อย่างต่อเนื่อง ส่วนเรื่องการค้าระหว่างประเทศ 4 เดือนที่ผ่านมา เราเดินทางไปทั่วประเทศและทั่วโลกนอกจากนี้ ในเรื่องของจุดยืนทางการเมือง เรายึดมั่นความเป็นกลาง ไม่สนับสนุนความขัดแย้ง ในแง่ของผู้บริสุทธิ์ และคนไทยที่อยู่ในต่างแดน จะต้องได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ถามว่า ในกรณีที่บริษัทต้องการกระจายซัปพลายจีนมาจากประเทศจีน มายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเวียดนามจะได้ผลประโยชน์จากตรงนี้มากที่สุด ไทยมีแนวทางอย่างไร ที่จะดึงดูดนักลงทุนให้มาลงทุนในประเทศไทย และอยากถามประธานาธิบดีเยอรมนี ว่า เห็นศักยภาพในการลงทุนประเทศไทย ในฐานะที่เป็นตัวเลือกจากประเทศจีนอย่างไรบ้างในมุมมองของเยอรมัน นายกฯ กล่าวว่า ตนไม่แน่ใจในเรื่องของตัวเลข แต่ไทยได้ประโยชน์จากการย้ายฐานนี้เช่นกัน ซึ่งมีโรงงานจำนวนหนึ่งในเวียดนาม ที่จะย้ายมาสู่ประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีบริษัทเทคโนโลยีต่างๆ จากอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น Google หรือบริษัทรายใหญ่ที่ย้ายมาอยู่ในประเทศไทย นอกจากนี้ ในการหารือกับประธานาธิบดีเยอรมนี ได้มีการพูดคุยถึงพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญ ที่จะดึงดูดให้บริษัทใหญ่ๆ มาลงทุนในประเทศไทย ขณะเดียวกัน วิถีชีวิตของประเทศไทย ทำให้ชาวต่างชาติที่เข้ามาใช้ ชีวิตอยู่ในประเทศไทย เข้าใจถึงความสะดวก แม้กระทั่งคนที่พาครอบครัวเข้ามาพักอาศัย ระบบดูแลสุขภาพของเราอยู่ในระดับโลก จึงเป็นจุดน่าดึงดูด ที่นักธุรกิจท่านไหน อยากลองย้ายมาอยู่ จึงนำครอบครัวมาด้วย
ด้าน ประธานาธิบดีเยอรมนี กล่าวเสริมถึงโอกาสการลงทุนในไทย ว่า เราจะต้องดูปัจจัยต่างๆ ซึ่งทางเยอรมนีเน้นนโยบายการพึ่งพาฝ่ายเดียว ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญ หากตอบโจทย์ในส่วนนี้ได้และอีกสิ่งที่สำคัญ ในภาคธุรกิจ คือ การลดความพึ่งพาฝ่ายเดียวที่เราจะต้องไปผูกพันกับประเทศจีน โดยขยายการลงทุนมายังประเทศอื่นๆ และย้ายมาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เน้นบทบาทบริษัท ในภูมิภาคนี้เพิ่มเติมทางเวียดนามและไทย ซึ่งเป็นประเทศที่น่าดึงดูดสำหรับนักลงทุน ซึ่งจากการหารือกับทีมไทยมีข้อได้เปรียบ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ และไทยยังมีความสนใจ ให้การสนับสนุนความร่วมมือทางการค้า บริษัทต่างๆที่มาจากสหภาพยุโรปและเยอรมนี โดยจะเห็นได้จากนโยบายและข้อบังคับต่างๆ ที่เอื้อประโยชน์ ในการทำการค้า ซึ่งสิ่งต่างๆที่ตนพูด มาในวันนี้ถือเป็นปัจจัย ที่จะทำให้ร่วมมือกันได้