xs
xsm
sm
md
lg

2 กมธ.สภาฯ จับมือสอบคดี "ป้าบัวผัน" เล็งพบ “ลุงเปี๊ยก” หลังบำบัดหาย สัปดาห์หน้าเรียก พม.คุยทางออก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“กมธ.ตำรวจ-สวัสดิการสังคม” จับมือสอบคดีป้าบัวผัน “ชัยชนะ” ยันจะพบ “ลุงเปี๊ยก” หากบำบัดหาย จี้ ตร. หากดำเนินการไม่ถึงที่สุด คนเสียหายสุดคือ สตช. ขณะ “ณัฐชา” วางตารางสัปดาห์หน้าเชิญ พม. เข้าถกทางออก แก้ กม.เด็ก-คนเร่ร่อน


วันนี้(19 ม.ค.) นายชัยชนะ เดชเดโช สส. จังหวัดนครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร และนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการสวัสดิการสังคม สภาผู้แทนราษฎร แถลงข่าวการติดตามกรณีเยาวชนรุมทำร้ายร่างกาย นางบัวผัน ตันสุ หรือ ป้ากบ จนถึงแก่ความตาย ที่ จ.สระแก้ว หลังจากวันนี้ยกเลิกกำหนดการลงพื้นที่พบลุงเปี๊ยก สามีของป้าบัวผัน เนื่องจากลุงเปี๊ยกต้องเข้ารับการรักษา

โดยนายชัยชนะ กล่าวว่า จากกรณีที่ได้ติดตาม กรณีเยาวชนรุมทำร้ายร่างกาย นางบัวผัน ตันสุ หรือ ป้ากบ จนถึงแก่ความตาย ที่ จ.สระแก้ว เบื้องต้นตำรวจได้ออกหมายจับ “ลุงเปี๊ยก“ ที่มีการสอบสวนใหม่ ล่าสุดพบว่าลุงเปี๊ยกไม่ได้มีการกระทำความผิดและส่งไปบำบัดรักษาโรคสุราเรื้อรัง ที่โรงพยาบาลธัญรักษ์

ซึ่งก่อนหน้านี้ทราบว่าลุงเปี๊ยกถูกทรมานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งมียศเป็นนาย “ดาบตำรวจ” มีบุคลิกขาเป๋ ใส่ขาเทียม และ ”รองผู้กำกับสืบสวน” ทราบเรื่องแต่ไม่ห้าม เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าสภามีการผ่านร่างพระราชบัญญัติอุ้มหาย นั้นการกระทำดังกล่าวถือว่าผิดมาตรา5 มีโทษจำคุก 5 ถึง 15 ปี ปรับ 300,000 บาท

หลังจากพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงพื้นที่ติดตามคดี และสอบปากคำด้วยตัวเอง ทำให้ตำรวจคนดังกล่าวได้ถูกแจ้งความดำเนินคดีแล้ว รวมถึงผู้กำกับสืบสวนในฐานะที่รับทราบแต่ไม่ห้าม ก็ผิดมาตรา 157 ละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ ขณะนี้รองผบ.ตร. ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีย้อนหลังกับเยาวชนทั้ง 5 คน ที่เคยก่อเหตุรวมทั้งสิ้น 5 คดี
เดิมทีวันนี้ กมธ. ตำรวจ และ กมธ.สวัสดิการสังคม เดินทางไปพบลุงเปี๊ยก ที่ สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งชาย ธัญบุรี รังสิต แต่ทราบว่าลุงเปี๊ยกถูกนำมารักษาตัวที่โรงพยาบาลธัญรักษ์ หากหายแล้ว กมธ.จะเดินทางไปเยี่ยม เพื่อสอบถามถึงความพอใจในการดำเนินคดีจากตำรวจชุดดังกล่าว รวมถึงการเรียกร้องเพื่อได้รับการเยียวยาตามสิทธิ์เพิ่มเติม

ขณะที่นายณัฐชา กล่าวว่า เมื่อวานนี้ กมธ.ได้มีการพูดคุยหารือกันในที่ประชุมถึงข้อกฎหมาย ในเรื่องการคุ้มครองเด็กและบทลงโทษของเด็ก เพราะวันนี้มีเยาวชนกระทำความผิดรุนแรง จนทำให้เกิดผู้เสียหาย จนถึงขั้นมีผู้เสียชีวิตจะมีบทลงโทษอย่างไร
โดยเจตนารมย์ของกฎหมายฉบับนี้ต้องการให้โอกาสเด็กที่กระทำความผิดครั้งแรก ไม่ต้องการให้เป็นตราบาปไปตลอดชีวิต ซึ่งข้อสรุปที่ประชุมเมื่อวานนี้ของกรรมาธิการ ยังไปไม่ถึงการแก้กฎหมาย เรื่องดังกล่าวต้องมีการพูดคุยกันอย่างจริงจัง ซึ่งบทลงโทษของเด็กพึ่งเปลี่ยนเมื่อปี 2565 จาก 10 ปีเป็น 12 ปี การจะเปลี่ยนกลับไปกลับมา เพื่อกรณีใดกรณีหนึ่ง ประชุมในที่ประชุมจึงยังไม่เห็นด้วย ซึ่งสัปดาห์หน้าจะเชิญนักสิทธิมนุษยชน ตัวแทนจากกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรมกิจการเด็กและเยาวชน มาร่วมพูดคุยว่า จะมีการหาทางออกกับ เหตุการณ์รุนแรงอย่างไร

ประเด็นที่ 2 คือเรื่องวิกฤติกระบวนการยุติธรรม นอกจากคดีฆ่าคนตายทั่วไปแล้ว ยังมีอีกหลายคดีที่ผู้กระทำความผิดไม่ได้รับบทลงโทษ และกระบวนการของเจ้าหน้าที่ยังมีส่วนไปช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นการโยนความผิดให้บุคคลที่เป็นโรคจิต ให้บุคคลที่มีฐานะยากจน ให้บุคคลที่ไม่สามารถต่อสู้คดีความได้ เหตุการณ์แบบนี้หากไม่เป็นข่าวดังขึ้นมา ก็อาจจะเงียบหายไป เช่นกรณีลุงเปี๊ยก ถ้าไม่มีวัตถุพยานอย่างกล้องวงจรปิด ลุงเปี๊ยก เข้าไปอยู่ในเรือนจำแล้ว นี่หมายความว่ากระบวนการยุติธรรมที่ให้กับประชาชนและตำรวจช่วยส่งเสริมให้ความจริงปรากฏ หากไม่มีหลักฐานเป็นกล้องวงจรปิด ก็มีการจับกุมผู้บริสุทธิ์ ไปคุมขังแทนผู้กระทำความผิดที่แท้จริง

นอกจากนี้ กรณีนี้ยังเป็นวิกฤติศรัทธาของตำรวจ จึงได้มีการหารือกับ กมธ.ตำรวจ ว่าจะหยิบยกเครื่องนี้มาเป็นประเด็นอย่างจริงจังว่าสุดท้ายแล้วกระบวนการยุติธรรม หรือวิธีการพิจารณาคดีความของตำรวจจะแสวงหาข้อเท็จจริงได้มากน้อยแค่ไหน และหากกระบวนการดำเนินไปแล้วพบข้อผิดพลาด สุดท้ายจะกลับมาเริ่ม กระบวนการใหม่ได้หรือไม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจมีความผิดด้วยหรือไม่

ส่วนประเด็นที่น่ากังวล คือปัญหาคนเร่ร่อน คนไร้ที่พึ่ง กมธ. ได้มีการเชิญมูลนิธิอิสระชน มูลนิธิกระจก ตัวแทนจากกระทรวง พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มาพูดคุยโดยในที่ประชุม กระทรวง พม. ยอมรับ ว่ามีคนกลุ่มดังกล่าว 11 แห่งทั่วประเทศที่อยู่ในการดูแลของกระทรวง 5,000 คน แสดงว่ายังมีอีกหลายพันคนที่อยู่ตามจุดต่างๆ และอาจจะมีลักษณะคล้ายป้าบัวผันที่ถูกกลั่นแกล้ง แต่อาจไม่ถึงแก่ความตาย ซึ่งบุคคลเหล่านี้ไม่มีหนทางที่จะต่อสู้เราจึงต้องหาทางออก ว่าจะทำอย่างไรกับคนกลุ่มดังกล่าวเมื่อถูกรังแก

ขณะที่นายชัยชนะ ยังฝากถึงรัฐบาลเศรษฐา ว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องยอมรับว่าเยาวชนมีการดื่มของมึนเมาเข้าไป ซึ่งนี่เป็นปัญหาหลักจึงอยากให้มีการปราบปรามยาเสพติดอย่างเด็ดขาด จะเห็นได้ว่าปัญหาสังคมทุกวันนี้มาจากลูกฆ่าพ่อ พ่อฆ่าแม่ ก็มาจากปัญหายาเสพติด

นอกจากนี้ยังมีปัญหาการติดพนันออนไลน์ ปัญหานี้ เป็นปัญหาที่มีเหตุอาชญากรรมเยอะมากมาย กรณีนี้น่าศึกษามาก เพราะลุงเปี๊ยกเค้าในเรือนจำ 100% แล้ว ตนจึงอยากฝากถึงการทำคดี ต้องดูให้เรียบร้อย อย่าเร่งรีบ อย่านำตัวผู้ที่ไม่ได้กระทำความผิดมาลงโทษ ไม่เกิดความเป็นธรรมในสังคมนี้

“ตามที่ผมได้คุยกับรองผบ.ตร. เจ้าหน้าที่ท่านใด คนไหนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ มีส่วนที่ทำให้ปิดสำนวนแล้วผิด ใช้ถุงดำคลุมหัวลุงเปี๊ยก ขับรถไปก็ดี หรือเดินทางเข้าห้องไปก็ดี ต้องดำเนินการให้ถึงที่สุด ไม่เช่นนั้นประชาชนจะพึ่งที่ไหนได้ ในเมื่อกระบวนการยุติธรรมไม่สามารถพึ่งพาได้“ นายชัยชนะ กล่าว

เมื่อถามว่าจากที่คุยกับ รองผบ. ตร. มีแค่ตำรวจขาเป๋คนเดียวที่เกี่ยวข้องใช่หรือไม่ นายชัยชนะกล่าวว่า รองผบ. ตร.รอยืนยัน ว่าลุงเปี๊ยกชี้คนเดียว ซึ่งรองผู้กำกับสืบสวนรับทราบ หลังจากนี้หากลุงเปี๊ยกเข้ารับการบำบัด และมีความจำรื้อฟื้น ว่านอกจาก2คนนี้ ยังมีใครอีกก็พร้อมรับฟังและแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่ม เราต้องยอมรับสิ่งที่ลุงเปี๊ยกพูด ว่าโกรธที่สุดคือชายขาเป๋ที่ทำร้าย จะเห็นว่าการคลุมถุงดำเกิดขึ้นล่าสุดที่ จ.นครสวรรค์ กระทำก็รับโทษไปแล้ว วิธีการสืบสวนทุกวันนี้โลกมันเปลี่ยนไปเปลี่ยนไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องอุ้มรีด สามารถดูกล้องวงจรปิด ข้อมูลโทรศัพท์ ก็น่าจะเพียงพอในการออกหมายจับ

ส่วนข้อเสนอให้อัยการร้องขอต่อศาลพิจารณาพิจารณาพิจารณาโทษเทียบเท่าผู้ใหญ่ นายชัยชนะ ยอมรับว่าไม่ได้มีการคุยกัน ซึ่งตนคิดว่าในอนาคต หากจะแก้กฎหมายต้องดูว่ากำหนดโทษเช่นไร เช่นโทษฆ่าผู้อื่น เมื่ออายุครบ 18 ปี ออกจากสถานพินิจ ก็ควรย้ายไปอยู่เรือนจำกลาง ไม่เช่นนั้นในอนาคตคนที่คิดทำร้ายผู้อื่นก็ใช้เด็กเยาวชนเป็นเครื่องมือ เพราะโทษอย่างไรก็ไม่เกิน4-5 ปี ถ้าอายุ 16 ปีก็รับโทษแค่ 3 ปี

ส่วนกรณีที่ลุงเปี๊ยก ให้การวกไปวนมาเกี่ยวกับพฤติการณ์ของตำรวจระหว่างสืบสวน จะทำให้ตำรวจหลุดจากคดีคดีหรือไม่ นายชัยชนะยืนยันว่าหลุดไม่ได้ การกลับไปกลับมา หลังจากที่มูลนิธิวินวิน มีการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยอมรับว่ากระทำจริง ต้องยอมรับว่าลุงเปี๊ยกเป็นผู้ป่วย เมื่อเข้าสถานบำบัดที่แรก สติกลับมา และได้สอบถามลุงเปี๊ยกก็ชี้ถูก จึงคิดว่าไม่น่าเป็นปัญหา ถ้าเรื่องนี้ดำเนินคดีไม่ถึงที่สุด คนที่เสียหายคือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ


กำลังโหลดความคิดเห็น