กมธ.งบฯ 67 โยนเรื่อง พิจารณาจัดซื้อเรือดำน้ำให้อนุฯ พิจารณา แนะกองทัพลดขนาดกองทัพ แต่ยังคงความทันสมัย ส่วนการจัดซื้อยุทโธปกรณ์และให้จัดซื้อแบบชดเชยหรือซื้อเทคโนโลยีมาด้วย หวังเป็นประเทศผู้ผลิตอาวุธในอนาคต
วันนี้ (18 ม.ค.) นายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส. พรรคภูมิใจไทย ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ได้แถลงผลการพิจารณางบประมาณของกระทรวงกลาโหม ที่ประกอบไปด้วย 6 หน่วยงาน คือ สำนักปลัดกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ
โดยมีหลายประเด็นที่น่าสนใจและกรรมาธิการได้ให้ข้อสังเกต คือ กองทัพควรมีขนาดเล็กลงและมีความทันสมัยในหลายหลายด้าน ตามภารกิจความมั่นคงที่จะเปลี่ยนแปลงไป และเพื่อให้มีงบประมาณเหลือมากเพียงพอสำหรับภารกิจของกองทัพอย่างแท้จริง ซึ่งควรพิจารณาปรับรถไปถึงบางตำแหน่งที่ไม่มีความจำเป็น เช่น ตำแหน่งที่ปรึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิ
สำหรับการจัดซื้อยุทโธปกรณ์โดยเสนอแนะว่ากองทัพควรจัดซื้อภายใต้นโยบายจะซื้อแบบชดเชย หรือ Offset Policy หรือได้ซื้อเทคโนโลยีมาด้วยเพื่อนำมาซึ่งความรู้ในการพัฒนาและผลิตอาวุธด้วยตัวเองต่อไปในอนาคตที่จะสามารถประหยัดงบประมาณของประเทศในระยะยาว และแนะให้นำความผิดพลาดในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ในอดีตมาเป็นบทเรียนเพื่อนำมากำหนดแนวทางการจัดซื้ออาวุธที่จำเป็นของกองทัพที่ความโปร่งใส และเพิ่มสัดส่วนการจัดซื้ออาวุธที่พัฒนาและผลิตภายในประเทศในระยะเวลา 10 ปี เพื่อเป็นการสร้างอุตสาหกรรมทางการทหารให้มีความเข้มแข็งโดยหยิบยกกองทัพของเกาหลีใต้มาเป็นตัวอย่างชี้เห็นที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการเป็นผู้ผลิต
ส่วนงบประมาณในการจัดซื้อเรือดำน้ำกรรมาธิการให้ไปคุยในรายละเอียดอีกครั้งในชั้นอนุกรรมการต่อไป และกรรมาธิการมีการพูดคุยกันเรื่องของการประกอบธุรกิจกองทัพซึ่งต่างก็ให้ความสำคัญพร้อมกับให้ข้อสังเกตว่าควรมีการชี้แจงให้มากขึ้น กรณีการทำบัญชีรายรับรายจ่าย และชี้แจงต่อสังคม