เมืองไทย 360 องศา
นาทีนี้ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือผิดสำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร นักโทษเด็ดขาด ที่อ้างว่ายังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจมานานกว่า 4 เดือนหรือ กว่า140 วันเข้าไปแล้ว และคาดว่าอีกไม่นานจะเข้าเกณฑ์การพักโทษ ได้กลับไปอยู่บ้านอย่างเปิดเผย
ที่ต้องบอกว่าไม่รู้คิดถูกหรือผิด ที่เขาเลือกใช้วิธีนี้ ที่เลือกเอาวิธีไม่ยอมติดคุกแม้สักวันเดียว ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่หรือแทบทั้งหมดล้วนเชื่อแบบนี้ และยังเชื่อด้วยว่าเขาไม่ได้ป่วยหนักถึงขั้นต้องนำตัวออกมารักษาอาการนอกเรือนจำ เพราะทุกอย่างล้วนมีพิรุธมองออกได้ไม่ยาก ซึ่งมันก็ช่วยไม่ได้ที่เวลานี้กระแสความไม่พอใจของสังคมกำลังเริ่มไต่เพดานสูงขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยปรามาสว่า “จุดไม่ติด” จนถึงตอนนี้ชักเริ่มไม่แน่ใจกันแล้ว
ภาพความเป็น “เทวดา” รู้สึกของ “อภิสิทธิ์ชน” หรือเมื่อ “คนไม่เท่ากัน” มันย่อมเป็นความรู้สึกอ่อนไหวได้ง่าย ยิ่งในสังคมยุคใหม่ที่ไม่อาจยอมรับกันได้ คำพูดที่ว่า “คนอาจรวยไม่เท่ากัน แต่กฎหมายต้องเท่ากัน” มันเป็นคำพูดที่เร้าอารมณ์ได้ดีทีเดียว
ในทางตรงกันข้ามสำหรับ นายทักษิณ หากเขาไม่เลือกวิธีนี้ แต่ยอมกลับเข้าคุกอย่างองอาจ ทำตัวเหมือนนักโทษทั่วไป ยอมรับในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเชื่อว่าก็คงติดคุกอยู่ไม่กี่วันก็ได้กลับออกมาแล้ว ถึงตอนนั้นเชื่อว่าเขาจะได้คำยกย่อง กลายเป็นตำนานที่กล่าวขวัญถึงในทางบวกได้อยู่แล้ว ดังนั้นถึงได้บอกว่า คิดถูกหรือผิดกันแน่
ก็เหมือนกับการที่เขาอ้างว่านอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ ยิ่งเวลาเนิ่นนานเท่าใด มันก็ยิ่งเกิดคำถามและหมดความเข้าใจและหมดความเห็นใจลงไปเรื่อยๆ เพราะสิ่งที่กลับขึ้นมาแทนก็คือ อารมณ์โกรธ เหยียดหยามจะมีมากขึ้น และยิ่งมีการปกป้อง อ้างโน่นอ้างนี่เพื่อให้เขาได้อยู่นอกเรือนจำอย่างไม่มีกำหนด หรือไปจนถึงวันที่ครบกำหนด “วันพักโทษ” มันก็ยิ่งสร้างกระแสความไม่พอใจพุ่งสูงขึ้น
ที่ผ่านมา หากทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นบนชั้น 14 เป็นเรื่องโกหก สร้างเรื่อง สมคบคิดกันปกปิดกันแล้ว จะด้วยความเชื่อที่ว่า “คุมทุกอย่างเบ็ดเสร็จ” โดยเฉพาะ “อำนาจรัฐ” ที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล รวมไปถึงมั่นใจว่าตัวเองยังมีมวลชนสนับสนุนอยู่เป็นจำนวนมาก จะทำอะไรก็ได้ ทุกอย่างอาจออกมาเป็นตรงกันข้ามก็ได้ เพราะนี่คือการ “ไม่สรุปบทเรียน” ในอดีต
สิ่งที่เห็นก่อนหน้านั้นในช่วงการเลือกตั้ง ก่อนที่ นายทักษิณ ชินวัตร จะกลับมาประเทศไทย พรรคเพื่อไทยของเขาก็พ่ายแพ้การเลือกตั้งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งพรรคไทยรักไทยเรื่อยมา หรือก่อนหน้านั้นที่มีพวก “คนเสื้อแดง” ที่แตกกระสานซ่านเซ็นไปคนละทิศละทาง หลายคนออกมาเปิดโปง นายทักษิณ และครอบครัวอย่างหมดเปลือก จนเวลานี้มีมวลชนที่สนับสนุนลดลงกว่าเดิมมาก ซึ่งพิสูจน์ได้จากผลการเลือกตั้งดังกล่าว
กรณีการถอยออกมาของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธานคนเสื้อแดง ที่เวลานี้กำลังเปิดโปง นายทักษิณ และพรรคเพื่อไทยได้อย่างออกรส และถือว่ามีน้ำหนักไม่น้อย เพราะทั้งข้อมูล ความเห็นที่แหลมคมมีเหตุมีผลของเขาย่อมสร้างแรงสั่นสะเทือนและทำลายความน่าเชื่อถือของพวกเขา เพราะ นายจตุพร ถือว่า “เคยเป็นคนใน” เป็นคนกันเองมาก่อน นั่นแหละ
ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 มกราคม นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ ว่า อารมณ์ประชาชนไม่พอใจนักโทษทักษิณ ชินวัตร ชั้น 14 รพ.ตำรวจ เริ่มเดือดพล่านมากขึ้น และเชื่อว่า จะทำให้สถานการณ์วันที่ 22 ก.พ.นี้ อาจเป็นปัญหาลุกลามไม่รู้จบได้
นายจตุพร กล่าวว่า ปัญหานักโทษทักษิณ ชั้น 14 รพ.ตำรวจ กำลังลุกลามไปสู่ปัญหาต่างๆ มากมายให้มาผสมรุมพังรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้ไม่แตกต่างกับปัญหาออก พรบ.นิรโทษกรรมสุดซอย แล้วทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ล้มลงไม่เป็นท่ามาแล้วเมื่อปลายปี 2556
“วันนี้พฤติกรรมดังกล่าวได้กลับมาอีก แต่เสียงของคนที่ออกมาปกป้องกรณีชั้น 14 มักพรรณาแต่เรื่องการยึดอำนาจ เรื่องทำคุณงามความดีมาก่อน หรือเรื่อง 30 บาทรักษาทุกโรค แต่เรื่องคดีทั้งหมดมีโทษจำคุก 8 ปี แล้วได้รับการลดโทษเหลือ 1 ปี ล้วนเป็นเรื่องมีมาตั้งแต่ชั้นศาลตัดสินให้จำคุก ดังนั้น หากไม่ถูกจ้องจำในคุกเลยสักวัน ความดี ความชั่วจะนำมาหักล้างกันไม่ได้”
ขณะเดียวกันการออกมาขย่มของพรรคก้าวไกลที่วิจารณ์เรื่อง “สองมาตรฐาน” ของ นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ออกมาให้ความเห็นถึงกรณีของ นายทักษิณ ชินวัตร ต่อเนื่องกันสองสามครั้งแล้ว รวมไปถึง ส.ส.ของพรรคก้าวไกลที่ออกมาวิจารณ์กันมากขึ้น
นอกเหนือจากนี้ยังมีกรณีของ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” หนึ่งในแกนนำม็อบสามนิ้ว ที่เพิ่งโพสต์ ถามหาถึงเท่าเทียม วิจารณ์ถึง “สองมาตรฐาน” เมื่อเทียบกรณีของ นายทักษิณ กับตัวเธอเอง ขณะที่เคยถูกนำตัวออกมารักษาอาการป่วยนอกเรือนจำ รวมทั้งเมื่อเทียบกับกรณีนักโทษคนอื่นอีกมากมาย มันก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นภาพ และมีน้ำหนักสร้างอารมณ์ร่วมกับสังคม โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่ที่เชิดชูเรื่อง “ความเท่าเทียม”
อย่างไรก็ดีแม้ว่าจะมีการประเมินกันว่าเวลานี้กระแสต่อต้านยังไม่พุ่งขึ้นสูงนัก หรือ “ยังจุดไม่ติด” ก็ตาม แต่อย่าเพิ่งชะล่าใจ เพราะเชื่อว่ายิ่งนานวันไปเรื่อยๆ มันก็เหมือนกันสะสมอารมณ์ที่คุกรุ่น เมื่อถึงเวลา มีเงื่อนไขพร้อมเข้าทางเมื่อไหร่ ก็อาจได้เห็นการออกมาลงถนนอีกรอบก็เป็นได้ อย่าดูเบาเป็นอันขาด เพราะที่ผ่านมาเคยมีบทเรียนกรณีกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาแล้ว
กรณีการชุมนุมของกลุ่ม กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ที่นัดชุมนุมเพื่อแสดงออกต่อกรณี นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร โดยมีการชุมนุมแบบปักหลักค้างคืนที่ ตั้งแต่ 12-14 ม.ค.ที่ผ่านมา และจะยุติการชุมนุมไปแล้วก็ตาม
แต่นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำ คปท. แถลงว่า หลังจากนี้ คปท.จะนัดชุมนุมอีกครั้งที่ทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ตั้งแต่เวลา 15.00 น. โดยครั้งนี้จะเป็นการชุมนุมแบบปักหลักยาว ไม่มีกำหนด
นอกเหนือจากนี้ทางสมาชิกวุฒิสภาก็ได้รวบรวมรายชื่อได้ครบ ขอเปิดการอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 153 ของ สว. ว่า โดยมีรายงานว่าได้เสียงเกิน 84 เสียงครบตามกำหนด โดยอาจจะเกินเล็กน้อยไปถึง 90 กว่าเสียง ซึ่งจะทำให้เปิดอภิปรายได้ โดยคาดว่าจะสามารถเสนอถึงประธานวุฒิสภาได้ในสัปดาห์หน้าเพื่อส่งต่อไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อกำหนดวันอภิปรายได้เมื่อไหร่
ดังนั้น หากพิจารณาตามรูปการณ์แล้ว เหมือนกับว่าเวลานี้ถนนทุกสายกำลังพุ่งไปที่กรณี นายทักษิณ ชินวัตร เริ่มสร้างอารมณ์ร่วมให้กับสังคม และหากปล่อยให้เวลาเนิ่นนานไป กระแสเรียกร้องก็น่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะการอยู่นอกเรือนจำ มารักษาอาการอยู่ในโรงพยาบาลนานกว่า 4 เดือนด้วยพฤติกรรมปิดลับ มันก็ยิ่งหมดความชอบธรรม หลายเป็นสร้างกระแสตรงข้ามได้อย่างร้อนแรง และมีความเสี่ยงสูง !!