เมืองไทย 360 องศา
เปิดศักราชใหม่ขึ้นมาก็ต้องถือว่าสำหรับรัฐบาลแล้วเริ่มเจอกับเรื่องหนักๆ และเสี่ยงเข้ามาแล้ว แน่นอนว่า แต่ละเรื่อง ล้วนต่อเนื่องมาจากปีที่แล้ว แต่เมื่อทุกอย่างกำลังเข้าใกล้ไคลแม็กซ์ มันก็ย่อมมีเรื่องน่าหวาดเสียว เริ่มจากกรณีของ “นักโทษเทวดา” นายทักษิณ ชินวัตร ที่อ้างว่าป่วย ยังรักษาไม่หาย ต้องนอนแบบอยู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ มานานกว่า 130 วันแล้ว ทำให้หลายคนเชื่อว่ากำลังสร้างสถิติประวัติศาสตร์ จะเป็นนักโทษรายแรกของโลกที่ไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว ไม่ต้องใส่ชุดนักโทษ ไม่ต้องกรอกประวัติ เป็นต้น และจะกลายเป็นนักโทษคนแรกเช่นเดียวกันที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เชิดชูว่า เป็น “นักสร้างสันติภาพ” อีกด้วย
อย่างไรก็ดี ภาพที่ติดตัว นายทักษิณ ชินวัตร เวลานี้กำลังถูกมองจากสังคมส่วนใหญ่ ว่า เป็น “พวกอภิสิทธิ์ชน” ล้าหลัง และย่ำยีกระบวนการยุติธรรมอย่างป่นปี้ เพราะคงมีน้อยคนนักที่เชื่อว่าเขากำลังป่วยหนัก จนต้องรับการดูแลรักษาแบบ “พิเศษ” จากแพทย์ในโรงพยาบาล นอกเรือนจำแบบนั้น
ด้วยภาวะที่กำลังเกิดขึ้นดังกล่าวอีกด้านหนึ่งมันก็สร้างแรงกดดันขึ้นมาเรื่อยๆ เชื่อว่า ความกดดันแบบนี้อีกด้านหนึ่งย่อมพุ่งมาที่ นายทักษิณ ชินวัตร รวมไปถึงฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งรัฐบาล บุคคล และหน่วยงานต่างๆ ที่ถูกมองว่าร่วมด้วยช่วยเหลือกัน
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งยิ่งนานวันมันก็ยิ่งเพิ่มความสงสัยกับสังคม โดยเฉพาะกับคำถามต่างๆ มากมาย เพราะเมื่อปิดลับเท่าไหร่ มันก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็น รวมไปถึงเกิดข่าวลือมากมาย เช่น เวลานี้ นายทักษิณ ไม่ได้อยู่ในโรงพยาบาล แต่แอบออกไปอยู่บ้านแล้ว เป็นต้น ซึ่งความเชื่อว่าแบบนี้มันย่อมเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว เนื่องจากไม่เคยได้รับรู้ ทุกอย่างปิดลับมาตลอด
แต่ถึงอย่างไรมันก็มีความเคลื่อนไหวหลายอย่างเกิดขึ้นในรอบสัปดาห์นี้ ที่ต้องจับตาก็คือ การไปตรวจสอบข้อเท็จจริงและเยี่ยมชมการทำงานของโรงพยาบาลตำรวจ และการปฏิบัติต่อนักโทษที่มารักษานอกเรือนจำว่าเป็นอย่างไร ซึ่งล่าสุด มีการเผยแพร่หนังสือจากโรงพยาบาลตำรวจแล้วว่าได้อนุญาตให้คณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎรได้เข้าเยี่ยมชม และรับทราบการปฏิบัติงานในวันที่ 12 มกราคมนี้
นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช และ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่โรงพยาบาลตำรวจอนุญาตให้ กมธ.การตำรวจ เข้าศึกษาดูงานได้ ว่า ขณะนี้เราได้รับหนังสือตอบรับจากโรงพยาบาลตำรวจ ให้ทาง กมธ. เดินทางไปในเวลา 10.00 น. เพื่อสอบถามขั้นตอนรับเข้าของผู้ต้องขังรวมถึงขั้นตอนในการดูแลเป็นอย่างไร และจะได้สอบถามนักโทษทุกคนที่อยู่ที่นั่น รวมถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในส่วนของสื่อมวลชน ทางโรงพยาบาลอนุญาตให้อยู่บริเวณหน้าอาคาร หลังจากนั้น จะมีการแถลงข่าว
ถามว่า เป้าหมายของ กมธ.ตำรวจ คือ การไปติดตามว่านายทักษิณรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 ใช่หรือไม่ นายชัยชนะ กล่าวว่า เราไปดูผู้ต้องขังคนอื่นด้วย เพื่อดูวิธีการรักษาเหมือนหรือแตกต่างกันหรือไม่ ผู้ต้องขังคนอื่นพักอยู่ที่ชั้นไหน ทำไมนายทักษิณได้พักอยู่ที่ชั้น 14 เราต้องดูข้อแตกต่างในตรงนี้
“ผมอยากฝากคำถามผ่านสื่อถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ที่ขณะนี้ยังไม่ตอบหนังสือมา ท่านคิดทบทวนให้ดี ท่านต้องให้ความร่วมมือกับ กมธ.ตำรวจ ท่านตอบมาว่ามีความเห็นอย่างไร ขณะนี้โรงพยาบาลตำรวจตอบมาแล้ว แต่ท่านเป็นเจ้าของไข้ที่รักษาตัวอยู่ ท่านยังไม่ตอบมาท่านมีความคิดอย่างไร ไม่อย่างนั้นท่านก็เป็นจำเลยของสังคมตลอดชีวิต” นายชัยชนะ กล่าว
เมื่อถามว่า หากมีการเอื้อให้นายทักษิณ ทาง กมธ. จะมีการดำเนินการอย่างไร นายชัยชนะ กล่าวว่าต้องดำเนินการตามกฎหมาย กฎหมายมีอยู่แล้ว เนื่องจากการรักษาตัวของผู้ต้องขัง ใช้เงินของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และทางกรมราชทัณฑ์ได้แจ้งว่าจำนวนเงินเกิน สามารถใช้เงินส่วนตัวได้ ตนก็บอกว่าให้เอารายละเอียดมา เราได้ทำหนังสือถึงกระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์ให้ส่งเอกสารที่เราขอไปทั้งหมดแล้ว
ส่วนอาการป่วยของ นายทักษิณ จะป่วยมากแค่ไหนเราไม่สามารถตอบได้อยู่แล้ว ซึ่งทางแพทย์ได้ชี้แจงชัดเจนแล้วว่า เป็นกฎหมายที่สงวนไว้ระหว่างผู้ป่วยและผู้รักษาไข้ แต่ประเด็นเราต้องดูขั้นตอน ว่ามีนักโทษกี่คนที่ขึ้นไปรักษาตัวที่ชั้น 14 มีการปฏิบัติเป็นอย่างไรบ้าง ตรงนี้คือประเด็นสำคัญมากกว่า
เมื่อถามว่า จะได้เจอนักโทษทุกคนหรือไม่ นายชัยชนะ กล่าวว่า ต้องดูระเบียบของโรงพยาบาลตำรวจ ว่า จะให้เราเข้าไปได้แค่ไหน จะให้เข้าถึงตัวตนหรือดูผ่านกล้องวงจรปิด ทั้งนี้ทั้งนั้นเมื่อเราเดินทางไปถึง ก็จะมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนในเรื่องนี้กัน หากนายทักษิณไม่อยู่จริง โรงพยาบาลตำรวจต้องตอบสังคมด้วยว่า นายทักษิณอยู่ที่ไหน แต่ถ้าอยู่จริงเราก็จะต้องบอกสังคมว่าเห็นแล้วว่าอยู่อย่างไร
ถัดมาในวันเดียวกัน ก็จะมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มที่เรียกว่า เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) โดยนายพิชิต ไชยมงคล นายนัสเซอร์ ยีหมะ แกนนำ คปท. พร้อมแนวร่วม ได้นัดชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาล โดยพักค้างคืนตั้งแต่วันที่ 12-14 มกราคม
นายพิชิต แถลงว่า มีการหารือเพื่อทวงคืนความยุติธรรมกรณีนายทักษิณที่อยู่เกิน 120 วันมาแล้ว แต่กระบวนการยุติธรรมของไทยยังไม่มีคำตอบให้สังคมไทยว่า นายทักษิณป่วยร้ายแรงแค่ไหน ถึงต้องมีการอยู่ที่ รพ.ตำรวจ มาถึงทุกวันนี้ โดยมีการหารือสร้างความร่วมมือ ซึ่งมีทิศทางคือ เราและอีกหลายคนมีการยื่นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในเรื่องนายทักษิณ แต่การทำงานของของ ป.ป.ช.ยังไม่มีความคืบหน้า
นั่นคือ ความเคลื่อนไหวกรณีของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่เชื่อว่า นับจากนี้จะเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ และจะสร้างแรงกดดันกระทบกระเทือนมาถึงรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน เช่นเดียวกัน แต่ขณะเดียวกัน ก็ยังมีอีกเรื่องใหญ่ คือ เรื่องนโยบายแจกเงินดิจิทัลหัวละหนึ่งหมื่นบาท ที่ล่าสุด แม้ว่าทางคณะกรรมการกฤษฎีกาจะมีหนังสือตอบกลับมาแล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าทำได้หรือทำไม่ได้ เพียงแต่บอกว่าต้องดำเนินการภายใต้กรอบ และเงื่อนไขทางกฎหมาย เช่น เรื่องวิกฤตเศรษฐกิจ ความจำเป็นเร่งด่วนต่อเนื่อง ซึ่งจะว่าไปแล้วมันยังไม่น่าจะเข้าเงื่อนไข และหากยังดึงดัน “ลุยไฟ” มันก็เสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายยกก๊วน เสี่ยงคุกตะรางเหมือนกัน
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากท่าทีเท่าที่เห็น ก็ยังไม่เห็นการเคลื่อนไหวแบบจริงจังว่ารัฐบาลจะเดินหน้านโยบายดังกล่าวแต่อย่างใด หากสังเกตจะเห็นว่า ทุกคนเงียบกันหมด มีเพียงแค่ นายเศรษฐา ทวีสิน และ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ที่พูดในลักษณะไม่เต็มเสียง ซึ่งต้องจับตาดูว่าจะมีการประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ในสัปดาห์หน้าหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรไม่ว่าจะเดินหน้า หรือถอยหลัง มันก็เป็นเรื่องใหญ่ เพราะถือว่านี่คือนโยบาย “เรือธง” หาเสียง และรับปากกับชาวบ้านไว้แล้ว และชาวบ้านก็ตั้งตารอ
นี่ว่ากันเฉพาะสองเรื่องใหญ่ที่เริ่มสร้างแรงกดดัน และสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งแรงกดดันต่อตัว นายทักษิณ ชินวัตร อีกครั้ง หลังเขาเคยทำให้เกิดวิกฤตในบ้านเมืองมาหลายครั้งแล้ว ดังนั้น เมื่อพิจารณาตามรูปการณ์แล้ว หากไม่มีการถอดสลักทันท่วงที ก็ต้องระวังจะเดี้ยงก่อนกำหนด!!
