ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ “สำนักงานอัยการสูงสุด” ควรเก็บกวาดบ้านตัวเองให้สะอาด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความศรัทธาในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยให้กับประชาชนต่อไป
ตลอดปี 2566 ถือได้ว่าเป็นปีหนึ่งที่กระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยถูกท้าทายและโดนลบหลู่เกียรติอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นตำรวจที่เกิดเรื่องความไม่โปร่งใสมากมาย โดยเฉพาะการมีตำรวจไปพัวพันกับเครือข่ายการพนันออนไลน์ หรือแม้แต่อัยการที่ถูกตั้งข้อสังเกตถึงการทำงานเช่นกัน
โฟกัสไปที่อัยการตั้งแต่ต้นปี 2566 ได้เกิดปรากฏการณ์สำคัญที่เขย่ากระบวนการยุติธรรมต้นน้ำอย่างน่าตกใจ ภายหลัง น.ส.นารี ตันฑเสถียร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุด ลงนามคำสั่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง 6 คดีใหญ่ที่กำลังเป็นที่สนใจของประชาชน
ประกอบด้วย 1.คดีนายกำพล วิริยะเทพสุภรณ์ หรือ “ตู้ห่าว”, 2.คดีเผาสวนงูภูเก็ต, 3.คดีรุกป่าบริษัท ซี พี เค อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด กับพวก ถูกกล่าวหาว่ารุกป่าที่ จ.เลย จำนวน 6,948 ไร่, 4.คดีนายแทนไท ณรงค์กุล กับพวก ข้อหาการฟอกเงินและการเปิดพนันออนไลน์, 5.คดีมาวินเบต ดอทคอม ในข้อหาฟอกเงินและเปิดการพนันออนไลน์) และ 6.คดีค้ายาเสพติด แมทแอมเฟตามีน จำนวน 4 แสนเม็ดที่ จ.นนทบุรี
โดยคดีเหล่านี้อัยการที่รับผิดชอบได้มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีไปแล้ว แต่การสั่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงดังล่าวเป็นเพราะมีผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม มาร้องเรียนที่สำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งกระทบต่อภาพลักษณ์การทำงานของอัยการ จึงมีความจำเป็นที่ต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบขึ้นมา
ผ่านมาเกือบปี ปรากฎว่าสำนักงานอัยการสูงสุดได้มีความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ คือ การมีคำสั่งฟ้อง นายเกียรติศักดิ์ หรือ “ฟลุ๊ค เจริญสุข” กับพวก ซึ่งเป็นเครือข่ายมาวินเบตในข้อหาเปิดบ่อนพนันออนไลน์และข้อหาฟอกเงิน โดยเตรียมจะส่งฟ้องต่อศาลจังหวัดชลบุรีพร้อมกับตัวจำเลยต่อไป แต่อาจจะฟ้องได้เพียงข้อหาเดียว คือ การฟอกเงิน เนื่องจากยังอยู่ในอายุความ 15 ปี ขณะที่ ข้อหาเปิดบ่อนการพนันนั้นมีอายุความเพียง 5 ปี และหมดอายุความไปเมื่อวันที่ 28 ธ.ค.66
การสั่งฟ้องคดีของอัยการในกรณีนี้ ด้านหนึ่งดูเหมือนว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่มีการดำเนินการล้างบางขบวนการพนันออนไลน์ให้สิ้นซาก
แต่มองอีกมุมหนึ่งจะเห็นได้ว่าสำนักงานอัยการสูงสุดกำลังซุกปัญหาไว้ใต้พรมอย่างน่ากังขาเช่นกัน
ทั้งนี้ เป็นเพราะเหตุใดในเมื่ออัยการมีคำสั่งฟ้องในคดีนี้แล้วกลับไม่ดำเนินการเอาผิดทางวินัยหรือตามกฎหมายกับอัยการที่เคยรับผิดชอบมาก่อนที่มีคำสั่งไม่ฟ้องคดี
เพราะการที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งให้ทบทวนก่อนที่อัยการจะกลับลำมีคำสั่งฟ้องคดี ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นในตัวเองอยู่แล้วว่า การสั่งไม่ฟ้องในคดีนี้ก่อนหน้านี้มีความบกพร่อง อันเกิดจากการทุจริตก็เป็นได้ จึงสมควรอย่างยิ่งที่ควรจะมีบทลงโทษในทางใดทางหนึ่ง
จริงอยู่ที่การทำงาน และการสั่งคดีย่อมเป็นดุลพินิจอิสระของอัยการที่มีหน้าที่ดังกล่าว อันเป็นหลักการที่ได้รับรองโดยกฎหมาย แต่ไม่ควรลืมว่าการใช้ดุลพินิจอย่างอิสระนั้นก็สมควรต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและกฎหมาย และกระทำด้วยความสุจริตด้วย โดยความเป็นอิสระได้ในความหมายนี้มิได้หมายถึงการเปิดโอกาสให้อัยการ ใช้อำนาจที่ตัวเองมีปราศจากความรับผิดชอบ
ดังนั้น การที่ปัจจุบันอัยการตัดสินใจกลับมาฟ้องคดีนี้ต่อศาล แน่นอนว่าเป็นการสมควรที่จะต้องได้รับคำชม แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้สำนักงานอัยการสูงสุดควรดำเนินการอัยการ ซึ่งเคยรับผิดชอบคดีนี้ตามกระบวนการของอัยการด้วย เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานเดียวกับที่เคยดำเนินการกับ นายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด กรณีสั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ผู้ต้องหาคดีขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ เสียชีวิต
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ “สำนักงานอัยการสูงสุด” ควรเก็บกวาดบ้านตัวเองให้สะอาด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความศรัทธาในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยให้กับประชาชนต่อไป
เพราะการปล่อยกระแสวิพากษ์วิจารณ์เบาลง เพื่อจะได้ซุกปัญหาไว้ในใต้พรม วิธีการแบบนี้ไม่อาจใช้ได้กับประชาชนในยุคปัจจุบันอีกต่อไปแล้ว.