xs
xsm
sm
md
lg

“เศรษฐา”แสตนด์อิน แต่“ชิน”ก็รากเลือด !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เศรษฐา ทวีสิน - แพทองธาร ชินวัตร
เมืองไทย 360 องศา

ตามธรรมเนียมเกือบทุกปี ที่สื่อประจำทำเนียบรัฐบาลจะตั้งฉายารัฐบาลและรัฐมนตรี ตรงใจบ้างไม่ตรงใจบ้างว่ากันไป หากไม่ซีเรียสก็ถือว่าสนุกสนานครื้นเครงกันดี เป็นการส่งท้ายปีเก่า เข้าสู่ปีใหม่

หากตัดตอนเอาเฉพาะฉายาของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ได้ฉายา “เซลล์แมนสแตนด์ ชิน” พร้อมกับคำอธิบายว่า นับแต่เศรษฐี ที่ชื่อ “เศรษฐา” เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็เดินหน้าทำงานทันที โดยเฉพาะการหารายได้เข้าประเทศ ต้องยอมรับในความมุ่งมั่นตั้งใจ คิดเร็วทำไว เดินสายพกประเทศไทยใส่กระเป๋า ไปโรดโชว์ จีบนักลงทุนทั่วโลก ประกาศตัวเป็นเซลล์แมนเต็มรูปแบบ

แต่ในทางการเมือง ยังถูกมองว่า ไม่ใช่นายกฯ ตัวจริง “เงา” ของคนในตระกูล “ชินวัตร” ยังปกคลุม เปรียบเสมือนตัวแสดงแทน หรือ สแตนด์อิน เพราะเคยหลุดปากขณะออกงานพร้อม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวสุดที่รักของนายใหญ่ หนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยเช่นกันว่า “นายกฯ คนไหน มีนายกฯ 2 คน” อีกทั้งหลายนโยบาย ก็ถูกวิจารณ์ว่า ต่อยอดมาจากนโยบายเดิม ของรัฐบาลนายทักษิณ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ขณะที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้ความเห็นถึงกรณีสื่อทำเนียบรัฐบาลตั้งฉายาเซลล์แมนสแตนด์ “ชิน” ว่า ก็เข้าใจในทุกๆปีก็มีการตั้งฉายา ซึ่งเป็นเรื่องของสีสัน ฉายาของนายกฯที่ตั้งเป็นเซลล์แมนสแตนด์ชิน คำว่าเซลล์แมน ตนก็ทราบอยู่แล้ว เพราะประกาศตัวอยู่แล้ว ส่วน สแตนด์ “ชิน” เป็นคำควบกล้ำระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษหรือเปล่า ซึ่งสื่อต้องอธิบายให้ฟัง ตนจึงจะตอบได้ ตนเองก็เข้าใจหลวมๆ ขอให้ถามได้เลย ไม่เป็นไรจะได้ตอบได้ถูกต้อง

ผู้สื่อข่าวถามว่า คำว่าสแตนด์ “ชิน” ในคำบรรยายหมายความว่า อาจจะเป็นเงาของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่รอการขึ้นมาเป็นนายกฯ นายเศรษฐา กล่าวว่า อ๋อ โอเค แต่วันนี้ตนก็เป็นนายกฯอยู่ และทำหน้าที่อย่างเต็มที่ และพยายามตั้งใจเอาให้ครบ 4 ปีให้ได้ แต่สำคัญมากกว่านั้น ไม่ใช่อยู่ไปให้ครบ 4 ปีแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนไม่ได้ดีขึ้น ส่วนสแตนด์ “ชิน” คือคอยสำหรับให้ครอบครัวไหนเข้ามา อันนี้พี่น้องประชาชนเป็นคนตัดสินมากกว่า ตรงนี้ก็ต้องคอยการเลือกตั้งครั้งต่อไป ก็เข้าใจไม่ได้คิดอะไร

เมื่อถามว่า มองอย่างไร กับฉายารัฐบาลแกงส้ม “ผลัก” รวม นายกฯ กล่าวว่า ตนไม่ค่อยเข้าใจคำว่า ผลัก สักเท่าไหร่ แต่หลักแกงส้ม เป็นแกงที่มีรสชาติดี และตนก็รู้ว่าเรารวมกันหลายพรรคอยู่แล้ว และรสชาติแกงส้มก็มีทั้งเปรียว หวาน เค็ม เผ็ด ใช่ไหม ตนคิดว่ารัฐมนตรีทุกคนก็ครบเครื่องพร้อมที่จะทำงานให้กับพี่น้องประชาชน ตนมองเป็นลักษณะนั้นมากกว่า

ถามย้ำว่าคำว่า “แกง” หมายถึงการแกล้ง ที่เป็นการพรรคก้าวไกลในช่วงต้นๆ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่พรรคเพื่อไทยเราก็โหวตให้ในตอนนั้น แต่ไม่สามารถรวบรวมเสียงได้ และเราก็ไม่สามารถคอยได้ 9-10 เดือนตามที่เขาบอก ก็ต้องทำหน้าที่กันไป ประเทศคอยไม่ได้ ไม่ได้แกล้งแน่นอน และยืนยันตามที่ตนพูดมาตลอดตั้งแต่ก่อนเข้ารับตำแหน่งก็บอกอยู่แล้วว่าพร้อมสนับสนุนตรงนั้นหากสามารถทำได้

ถามว่า นายกฯจะรักษาบรรยากาศของพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อให้อยู่ครบกันไปถึง 4 ปี ใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า อยู่ที่ผลงานของเรามากกว่า และดูที่ความตั้งใจของรัฐมนตรีทุกท่าน ไม่ได้มองแยกว่าเป็นรัฐมนตรีจากพรรคไหนเป็นพรรคไหน เราดูผลงานเป็นหลักของทุกๆ รัฐมนตรี และเอาผลงานเป็นที่ตั้ง

เมื่อถามว่า 314 เสียง แปลว่าจะไม่มีการปรับพรรคไหนมาหรือปรับออกใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่วันนี้เรามีความสุขอยู่แล้วตรงนี้ และเชื่อว่ารัฐมนตรีทุกท่าน จากทุกพรรคได้ทำงานอย่างเต็มที่ และตนก็ตระหนักดีพี่น้องสื่อมวลชนได้ให้ข้อคิดตลอดเวลา มีปัญหาตรงไหน ต้องแก้ไขตรงไหน และต้องปรับปรุงอย่างไร ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นให้รัฐมนตรีทุกคนทุกพรรคช่วยกันทำงานอยู่แล้ว

เมื่อถามว่า แต่การจะมีพรรคไหนเข้ามาเพิ่มร่วมรัฐบาล นายกฯก็พร้อมที่จะพิจารณาใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตอนนี้ไม่ได้คิด ตนเชื่อว่า ณ วันนี้ 314 เสียง เรายังทำงานกันได้ดีอยู่ มีเรื่องหรือมีปัญหาอะไรเราก็คุยกันอย่างตรงไปตรงมาโดยเอาผลงานเป็นที่ตั้ง วันนี้เราโอเคอยู่แล้วตรงนี้

ถามว่า ทำไมถึงยังมีกระแสข่าวการปรับครม. ออกมา นายกฯ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ตนไม่ได้เป็นคนให้ข่าว ตนมีหน้าที่ตอบคำถามอย่างเดียว เมื่อถามย้ำว่าอนาคตถ้าจะมีเสียงเพิ่ม ก็ไม่ติดใช่หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า วันนี้แฮปปี้อยู่แล้ว มีความสุขอยู่แล้ว 314 เสียง จาก 500 เสียง เพียงพอต่อการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐมนตรีทำงานอย่างเต็มที่ ก็ต้องปรับกันไป แม้ไม่เห็นด้วยกันหมด แต่ก็มีการพูดคุยกันอย่างผู้ใหญ่

เมื่อถามว่า วัด KPI รัฐมนตรีอย่างไร นายกฯกล่าวว่า โอ้โห แต่ละกระทรวง มีเรื่องที่ต้องทำต่างกันไปคงพูดลำบาก เราเน้นเรื่องวัดผลงานเอาระยะเวลามาเป็นตัวจับไม่ใช่พูดลอยๆ

ซักว่า ถ้าได้มาเพิ่มอีก 25 เสียง จากพรรคประชาธิปัตย์ จะทำให้ดีขึ้นหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ในแง่ของตัวเลขก็อาจจะดีขึ้น แต่ในแง่ของการที่จะมาเกลี่ยมาแบ่งกระทรวงกันใหม่ มันก็ลำบากขึ้น มันไม่มีอะไรดีหมดหรอก ขอให้ยึดคำที่ตนพูดไว้ วันนี้ 314 เสียงพอแล้ว และรัฐมนตรีทุกท่านทำงานกันอย่างเต็มที่อยู่แล้ว ผลงานก็เริ่มทยอยออกมาแล้ว

ได้ฟังคำตอบของ นายเศรษฐา แล้ว ก็ประมาณว่าเมื่อยังทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีอยู่ก็ทำเต็มที่ และตั้งใจให้ครบ 4 ปี จากนั้น มีการเลือกตั้งก็ว่ากันใหม่ ส่วนคำถามที่ว่าจะมี “ครอบครัวไหนเข้ามาหรือไม่” ก็ให้ประชาชนเป็นคนตัดสินดีกว่า ก็ถือว่าเป็นคำตอบที่ดูดี ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาให้เห็นมากนัก แต่ขณะเดียวกันหากพิจารณาให้ละเอียดในแต่ละคำพูดที่บอกว่า “ให้ประชาชนตัดสิน” นั้น หากมองอีกมุมหนึ่งมันก็เหมือนกับการ “โยนความกดดันกลับไป” เหมือนกัน ส่วนจะเป็นโยนไปให้ “ตระกูลชิน” หรือไม่นั้นมันก็น่าคิดเหมือนกัน

เพราะหากบอกว่าเขาเป็นแค่ “แสตนด์อิน” หรือตัวแสดงแทน โดยมีตัวจริงคือคนของ “ตระกูลชิน” คือ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทยเป็นตัวจริงอยู่นั้น มันก็เหมือนกับการวัดให้เห็นอยู่ในทีว่า หากเข้ามาก็ต้อง “มีฝีมือ” เป็นของจริงเท่านั้น

ดังนั้น หากมองในทางการเมืองก็ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมา นายเศรษฐา ทวีสิน “ขาลอย” มาแบบตัวเปล่าเล่าเปลือย ไม่มีกำลังหนุนหลัง ไม่มีฐาน ส.ส.อยู่ในมือ สามารถก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่สามสิบ ก็ล้วนได้รับการหนุนหลังจาก “ตระกูลชิน” รวมไปถึงต้องได้รับไฟเขียวจาก นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งก็ต้องแลกมาด้วยสัญญาตอบแทนให้บางอย่างแน่นอน ส่วนทำไมถึงให้ นายเศรษฐา ขึ้นมาก่อน ทำไมถึงไม่ให้ “อุ๊งอิ๊ง” เป็นนายกฯ เสียตั้งแต่แรก ทั้งที่เป็นแคนดิเดตอันดับหนึ่งด้วยซ้ำไป แต่อาจเป็นเพราะด้วยข้อจำกัดทางการเมืองบางอย่าง ที่จะรวบรัดทีเดียวพร้อมกันไม่ได้ หลังจากที่ นายทักษิณ ต้องตัดสินใจกลับไทยมาเคลียร์เรื่องคดีความ ทุกอย่างจะเป็น “เป้าสายตา” มากเกินไปหรือเปล่า ขึ้นต้องใช้คนอื่น “ขัดตาทัพ” ไปก่อน

แน่นอนว่าสำหรับ นายเศรษฐา ทวีสิน ก็น่าจะรับรู้ถึง “สถานะชั่วคราว” นี้ดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีที่สุด อย่างน้อยก็ต้องสร้างเกียรติประวัติให้ตัวเองให้ได้ ดังนั้นมีทางเดียวก็คือต้อง “สร้างผลงาน” เปรียบเทียบให้เหนือกว่าให้ได้ ซึ่งก็มีทางนี้ทางเดียวจริงๆ

อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากผลสำรวจของบางสำนักที่เพิ่งออกมาไม่กี่วัน ผลก็ปรากฏว่า พรรคเพื่อไทย ก็ยังตามหลังพรรคก้าวไกล ขณะที่เมื่อพิจารณาจากตัวบุคคลก็ไม่ต่างกันคือ นายเศรษฐา ก็ยังตามหลัง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่เวลานี้เป็นแค่ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกลด้วยซ้ำไป โดยที่ นายเศรษฐา ถูกทิ้งห่าง แต่เมื่อเทียบกับ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ว่าที่นายกฯ ตัวจริงของ “ตระกูลชิน” กลับถูกทิ้งห่างแบบไม่เห็นฝุ่น เมื่อผลออกมาแบบนี้มันก็น่าคิดเหมือนกัน ว่าเมื่อถึงเวลาที่ต้องเอาจริง มันก็เป็นไปได้แค่ไหน

ดังนั้น หากพิจารณาจากแนวโน้มในอนาคต หรืออย่างน้อยก็ในปีหน้าที่เชื่อว่าการเมืองจะเข้มข้นกว่าเดิมหลายเท่า และเชื่อว่าสิ่งที่กระแสกดดันจะรุมเร้าเข้ามาจะพุ่งเข้าใส่ “ตระกูลชิน” หรือตัว นายทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว รวมไปถึงส่งผลสะเทือนไปถึงรัฐบาลเต็มๆ เพราะในช่วงปลายปีนี้ก็เริ่มเห็นสัญญาณชัดเจน จนบางครั้งไม่กล้าขยับเสียด้วยซ้ำ อย่างน้อยก็คือสถานะ “นักโทษเทวดา” ที่หากเข้าใจอารมณ์สังคมผิดพลาดก็มีโอกาสพังได้อีกรอบเหมือนกัน อย่าทำเป็นเล่นไป !!


กำลังโหลดความคิดเห็น