เมืองไทย 360 องศา
แม้ว่าจะมีข้ออ้างและเสียงตอบโต้ออกมาต่างๆ นานา แล้วแต่ว่าจะเป็นมุมมองแบบไหน หรือเป็นพวกใครหนุนใคร แต่เมื่อพิจารณาจากผลสำรวจที่เพิ่งออกมาล่าสุดของ “นิด้าโพล” เมื่อสองวันก่อนมันก็เริ่มเห็นภาพสะท้อนบางอย่างออกมาให้เห็นได้อย่างน่าสนใจเหมือนกับ โดยเฉพาะกับผลความนิยมที่แสดงให้เห็นว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้รับความนิยมนั่นคือ อยากให้เป็นนายกฯ เหนือกว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแบบทิ้งห่างหลายช่วงตัว และยังทิ้งห่าง “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หรือ “ว่าที่นายกฯ” แบบ “ไม่เห็นฝุ่น” เรียกว่าเทียบกันไม่ติดกันเลยทีเดียว
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาสปี 2566” ทำการสำรวจ ระหว่างวันที่ 13-18 ธันวาคม 2566 พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 39.40 ระบุว่า เป็น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (พรรคก้าวไกล) อันดับ 2 ร้อยละ 22.35 ระบุว่าเป็น นายเศรษฐา ทวีสิน (พรรคเพื่อไทย) อันดับ 3 ร้อยละ 18.60 ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ อันดับ 4 ร้อยละ 5.75 ระบุว่าเป็น น.ส.แพทองธาร (อุ๊งอิ๊งค์) ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย) อันดับ 5 ร้อยละ 2.40 ระบุว่าเป็น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (พรรครวมไทยสร้างชาติ)
ขณะเดียวกันในส่วนของพรรคการเมือง นั่นคือ พรรคก้าวไกล ก็ยังเหนือกว่าพรรคเพื่อไทยขาดลอย ไม่ได้แตกต่างกันเลย
จากผลสำรวจดังกล่าวย่อมสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า อันดับหนึ่งเป็นนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากพรรคก้าวไกล แต่ถ้าโฟกัสกันแค่สองคนในพรรคเพื่อไทย ระหว่าง นายเศรษฐา กับ น.ส.แพทองธาร จะเห็น ความนิยม นายเศรษฐา นำโด่ง ทิ้งห่าง น.ส.แพทองธาร แบบไม่เห็นฝุ่น
หากโฟกัสแยกย่อยออกไปอีก ก็เห็นภาพได้ชัดเจนว่า ความนิยมของ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้รับความนิยม หรือความคาดหวังของชาวบ้านอยากให้เป็นนายกฯ มีเพียงแค่ร้อยละ 5 เท่านั้น เป็นตัวเลขหลักเดี่ยวเท่านั้น เรียกว่าห่างกันขาด หมดลุ้นเลยทีเดียว
อย่างไรก็ดี ก็มีคนในพรรคเพื่อไทย ออกมาไม่ยอมรับกับผลโพลดังกล่าว อ้างว่าสำรวจเร็วเกินไป และมองว่าขึ้นอยู่กับว่าสำรวจกับใคร และสำรวจที่ไหน
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงผลโพลดังกล่าวว่า ก็ไม่ได้แปลกอะไร เพราะการสำรวจผลโพลขึ้นอยู่กับว่าใครสำรวจสถาบันไหนบ้าง และสำรวจในกลุ่มตัวอย่างเท่าไหร่ จากส่วนไหนบ้าง ซึ่งตอนนี้เราฟังผลโพลจากทุกฝ่ายที่อาจจะมีลักษณะไปในทิศทางเดียวกัน หรือแตกต่างกัน แต่ที่สำคัญที่สุดคือ พื้นที่ของประชาชนโดยตรง
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนเชื่อว่าพื้นที่ที่รัฐบาลไปพบประชาชนส่วนใหญ่ ยังสนับสนุนพรรคเพื่อไทย และนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ส่วนผลโพลถ้าเป็นในเมือง โดยเฉพาะคนวัยหนุ่มสาว ยอมรับว่าความนิยมของนายพิธา ยังมีอยู่ แต่คิดว่าอยู่ที่การทำงานมากกว่า รัฐบาลนี้เข้ามาช่วงแรกวุ่นอยู่กับการทำงานอยู่ หลังจากทำงานเสร็จแล้ว ค่อยไปดูอีกที ว่าประชาชนจะรู้สึกอย่างไร ส่วนตัวคิดว่าความนิยมไม่เท่ากับผลงานที่ทำงานให้กับประชาชน
ถามว่า การทำโพลภายใน 3 เดือนคิดว่าเร็วไปหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าเร็วไปนิดนึง เหมือนที่บอกว่า จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาลเพิ่งเริ่มทำงาน ต้องเข้าใจว่าสิ่งที่รัฐบาลเข้ามาครั้งนี้ มาถึงก็เจอแต่ปัญหาเยอะแยะ เป็นปัญหาที่สะสมมาเกือบ 9-10 ปี จากการรัฐประหาร ดังนั้นการทำงานขณะนี้ เป็นการปูรากฐาน
“สิ่งสำคัญที่สุดขณะนี้ รัฐบาลยังไม่มีงบลงทุนในการทํางานเลย ส่วนใหญ่เป็นงบประจำ เพราะงบประมานเป็นช่วงรอยต่อพอดี ซึ่งงบประมาน ปี 67 กำลังจะเข้าสภาต้นปีนี้ ฉะนั้นเรายังไม่มีเงินทำงาน ดังนั้น งบประมาณที่เราจะทำงานได้ จะมีหลังเดือนพฤษภาคมปีหน้า เป็นต้นไป ที่ผ่านมาเราใช้การบริหารเงิน ด้วยการนำธนาคารของรัฐมาช่วยบ้าง เป็นการหยิบจับมาโปะ เป็นการเตรียมพื้นที่แก้ไขปัญหาในอนาคตต่อไป และเชื่อว่าหลังจากปีใหม่เป็นต้นไป ทุกคนจะได้เห็นว่าฝีมือการทำงานของรัฐบาลเป็นอย่างไร และในช่วงต้นปี จะมีการชี้แจงให้ประชาชนทราบว่า 3 เดือนที่รัฐบาลเข้ามา ได้ปูรากฐานอะไรบ้าง”
เมื่อถามว่า มั่นใจว่าจะใช้ผลงานเป็นตัวดึงคะแนนได้ ใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ผลงานเป็นสิ่งที่สำคัญมากอันดับต้นๆ ในการดึงความรู้สึก เพราะถ้าประชาชนเห็นความตั้งใจของรัฐบาล หรือสามารถแก้ไขปัญหาได้ ประชาชนก็จะพอใจ เชื่อว่าเรามีความสามารถเหนือกว่าพรรคอื่น คือการลงไปพบปะประชาชน ซึ่งสมาชิกที่ลงพื้นที่ก็ได้รับเสียงสะท้อนว่าพรรคยังได้รับความเชื่อมั่น เพียงแต่เราอาจจะต้องปรับการสื่อสารกับคนในเมืองและเยาวชน ส่วนการใช้โซเชียลมีเดีย ยอมรับว่าพรรคเพื่อไทย ยังไม่แข็งแรง มีข้อจำกัด ซึ่งหลังจากมีการปรับปรุงพรรค มีหัวหน้าพรรคและคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ เชื่อว่าจะสามารถทำความเข้าใจให้คนเหล่านี้เข้าใจพรรคมากขึ้น
ก็อาจจะจริงตามที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย เชื่ออย่างนั้น นั่นคือ เวลาน้อยไปที่จะเป็นตัวชี้วัดได้ เพราะรัฐบาลเพิ่งเข้ามาบริหารได้เพียงสามเดือนเศษเท่านั้น อย่างไรก็ดีเมื่อผลสำรวจออกมาแบบนี้อย่างน้อยมันก็เป็นภาพจำตั้งแต่เริ่มต้น และด้วยความนิยมที่นำหน้าหลายช่วงตัวแบบทิ้งกันขาด ทั้งคนทั้งพรรค เชื่อว่าในอนาคตข้างหน้าเชื่อว่าต้องเหนื่อยหนักเหมือนกัน
แต่ที่น่าสนใจ ก็คือ ความนิยมในตัวของ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่มาเกือบรั้งท้าย ตัวเลขแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ ถูกทิ้งห่างแบบไม่เห็นฝุ่นแบบหมดลุ้น “เสียฟอร์ม” กันไปเลย ครั้งจะอ้างว่าไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เป็นผู้บริหาร ความโดดเด่น อาจยังไม่ได้ฉายภาพได้ชัด แต่ขณะเดียวกันหากเทียบกับ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เวลานี้ก็เป็นแค่ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล และถูกพักการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. มีคดีต้องลุ้นแบบคอขาดบาดตาย แต่เมื่อผลสำรวจออกมาแบบนี้มันก็น่าคิดเหมือนกันว่าความนิยมในตัวของเขายังคงเส้นคงวา โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กรุ่นใหม่ ที่แม้ว่าที่ผ่านมาพรรคก้าวไกล จะมีข่าวอื้อฉาวมาต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่ส่งผลกระทบมากนักหรือเปล่า
ดังนั้น หากโฟกัสจากผลโพลดังกล่าวมันสะท้อนออกมาให้เห็นอย่างน้อย “สามอย่าง” ให้เห็นชัดเจนก็คือ ภาพจำของ นายพิธา ในพรรคก้าวไกลจะเหนือกว่าคนอื่นในพรรค ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน หรือแม้แต่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ถือว่าเป็นเจ้าของพรรคตัวจริงเสียอีก ถัดมาก็คือพรรคเพื่อไทยที่เวลานี้เห็นชัดเจนว่า “ครอบครัวชินวัตร” เสื่อมมนต์ขลังแล้ว เพราะ “อุ๊งอิ๊ง” ไม่ติดฝุ่น แต่สำหรับ นายเศรษฐา ผลออกมาแบบนี้ถือว่ายังมีลุ้นได้ “ต่ออายุ” เพราะอย่างน้อยความโดดเด่นก็ยังพอได้
เอาเป็นว่าแม้ว่าต้องดูกันยาวๆ เพราะเพิ่งออกสตาร์ทได้มาไม่นาน ยังมีตัวแปรข้างหน้าอีกมากมาย แต่อย่างน้อยเท่าที่มองเห็นตอนนี้มันก็พอประเมินสถานการณ์ข้างหน้าได้บ้างเหมือนกัน !!