“เศรษฐา” เผย พอใจมากลุยคุยบิ๊กนักธุรกิจญี่ปุ่น กระตุนลงทุนไทย ปลื้ม “ฮอนด้า-อีซูซุ” จ่อลงทุนไทยร่วม 8 หมื่นล้าน และอีกหลายค่ายพร้อมลงทุน เร่งให้แต่ละบริษัทลงทุนอีวีให้เร็วขึ้น โวรัฐบาลอยู่ 4 ปี ทุกโครงการสำเร็จแน่
วันนี้ (15 ธ.ค.) เมื่อเวลา 16.30 น. (ตามเวลาท้องถิ่นประเทศญี่ปุ่น ที่เร็วกว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมง) ที่โรงแรมอิมพีเรียลโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และ รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมการเดินทางเยือนญี่ปุ่นวันแรก (15 ธ.ค.) ว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าได้เจอกับมิตซูบิชิ กรุ๊ป และ นายไซโต เค็น (H.E. Mr. Saito Ken) รมว.เศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมญี่ปุ่น ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งโดยตรงก็ได้แสดงความยินดีไป เขายังบอกว่าจะจดจำไว้ เพราะตนคือคนแรกที่ได้มาร่วมงานในตำแหน่งดังกล่าว ก่อนร่วมงานสัมมนากับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มีนักลงทุนญี่ปุ่นร่วมรับฟังประมาณ 500 คน โดยยืนยันว่า ประเทศไทยและญี่ปุ่น มีความสัมพันธ์กันยาวนาน และญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ในประเทศไทย ลงทุนไปหลายล้านล้านบาทแล้ว โดยตนได้แจ้งถึงแนวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยว่าเราจะทำอะไรบ้าง ทั้งการลงทุนในกรีนเอนเนอจี อิเล็กทรอนิกส์พาร์ท รวมถึงเมกะโปเจกต์ต่างๆ เช่น โครงการแลนด์บริดจ์ ก่อนพบกับ บริษัท มิตซูบิชิกรุ๊ป ที่เป็นกลุ่มบริษัทที่ใหญ่สุดของญี่ปุ่น ได้พูดคุยถึงการสำรวจและขุดเจาะแหล่งก๊าชธรรมชาติ ที่เขาสนใจและชำนาญ และความเป็นไปได้ในการใช้นำน้ำมันพืชใช้แล้วมาทำเป็นน้ำมันเครื่องบิน และทั้งวันก็ได้พูดคุยกับ 7 บริษัทยานยนต์ของประเทศญี่ปุ่น คือ บริษัท ฮอนด้า ที่เขาลงทุนในไทยเยอะมาก และมีแผนลงทุนในไทย 5 หมื่นล้าน ในอีก 5 ปี ซึ่งตนได้บอกไปว่าไม่ต้องห่วงเรื่องการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานสันดาปในรถยนไปเป็นอีวี เราให้ความสำคัญ เพราะอีกหลายคนทำงานในบริษัทเครือข่ายยานยนต์ของญี่ปุ่น ตนพยายามเร่งให้เขาสร้างโรงงานกรีน เอนเนอจีและปลั๊กอิน-ไฮบริด ให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ตนเคยแถลงไว้
นายกฯ กล่าวต่อว่า อีกบริษัทคือ นิสสัน ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่ เขาเข้ามาในรถอีวีก่อนเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา คือ นิสสัน ลีฟ ก็ยืนยันว่าจะทำต่อเนื่องในเมืองไทย ต่อมาคือ มิตซูบิชิ ที่ทำรถกระบะ เขาก็จะพัฒนารถกระบะอีวี ซึ่งรถกระบะเป็นรถที่ขายดีในไทย ฉะนั้น การจะเปลี่ยนรถกระบะเป็นอีวีในไทย เพื่อพลังงานสะอาดถือเป็นปัจจัยสำคัญ ตนก็ได้เร่งให้เขาลงทุนให้เร็วขึ้น เพราะการเปลี่ยนจากสันดาปไปเป็นอีวีก็ค่อนข้างรวดเร็ว เขาจะใช้เราเป็นฐานในการส่งรถกระบะไปขาย อีกไม่กี่ปีก็จะเริ่มแล้ว
นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า ตนยังได้คุยกับบริษัท ซูซูกิ แม้เป็นบริษัทเล็ก แต่อยู่ในไทยมานาน เขาทำอีโค่คาร์ คือ ซูซูกิสวิฟ เขาขอให้เราส่งเสริมต่อ ตนก็ได้แนะนำให้ทำมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า เพราะเมืองไทยขายดี พร้อมกันนี้ ยังได้หารือกับบริษัท อีซุซุ ซึ่งเขาก็พร้อมลงทุนอีกประมาณ 32,000 ล้านบาท ในอีก 5 ปีข้างหน้า เพราะ 2 ปีที่ผ่านมา เขาลงทุนไป 2 หมื่นกว่าล้านบาท ฉะนั้น 32,000 กว่าล้าน ในระยะเวลา 5 ปี จึงถือว่าเยอะกว่าช่วงที่ผ่านมา
นายกฯ กล่าวอีกว่า จากนั้นได้หารือกับมาสด้า ซึ่งเป็นบริษัทที่ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตส่งรถไปขายประเทศต่างๆ เขามั่นใจว่า รถเอสยูวีของเรามีสมรรถนะที่ดี ส่งขายยังต่างประเทศได้ บริษัทเหล่านี้พยายามลงทุนเพิ่มในไทย แรงงานของไทยพึ่งบริษัทเหล่านี้เยอะ และบริษัทสุดท้ายที่เจอ คือ โตโยต้า คือ บริษัทที่ผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อยู่เมืองไทยมา 60 ปีแล้ว ประธานของบริษัทมาพูดคุยเองและเขาก็เคยอยู่เมืองไทยมาก่อน ถือว่าเข้าใจธุรกิจเป็นอย่างดี ได้พูดคุยถึงการทำรถกระบะที่เขาขายดี คือ โตโยต้าไฮลักซ์ โดยภายในปี 2025 เขาจะเริ่มผลิตแล้วแม้จะช้าไปนิด แต่เค้าผลิตเพียง 5,000 คัน ตนก็ได้ถามไปว่าทำไมผลิตน้อยจัง ซึ่งสิ่งที่เขาเป็นห่วงคือสถานีชาร์จรถไฟฟ้า ตนจึงได้ยืนยันไปว่าเราขยายเครือข่ายตรงนี้ไปมากไม่ว่าจะอยู่จังหวัดไหน เขาก็จะกลับไปพิจารณา การเร่งผลิตรถกระบะอีวีให้เร็วขึ้น ทั้งนี้ อีกส่วนของโตโยต้าเขาทำเรื่องไฟแนนซ์รถยนต์สอดคล้องกับการแก้หนี้ในระบบ หากเขาช่วยเราได้ในส่วนนี้ไม่ว่าจะเป็นการบีบดอกเบี้ยหรือปรับเบี้ยปรับ ก็ต้องรบกวนด้วย
นายกฯ กล่าวด้วยว่า สิ่งที่ตนได้พูดคุยในวันนี้ คือ การเร่งให้แต่ละบริษัทลงทุนอีวีให้เร็วขึ้น เพราะบริษัทเหล่านี้อยู่ในไทยมา 50 ปี ถึง 60 ปี มีความเป็นไทย มองตาก็รู้ใจ อีกอย่างคือพูดคุยถึงการใช้พลังงานสะอาดที่จะเป็นหัวข้อหลักในการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่นสมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่น ในวันที่ 17 ธ.ค.
เมื่อถามว่า พอใจกับการหารือกับนักธุรกิจญี่ปุ่นตลอดทั้งวันหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า พอใจมาก เพราะญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าที่สำคัญของเรา และพูดจากันด้วยท่าทีที่ดี และเป็นมิตร ด้วยท่าทีที่ดี ฉะนั้น ไม่ต้องเป็นห่วง แต่เราก็พยายามให้เขาเร่งการลงทุนเข้ามา เพราะโลกเปลี่ยนไปมาก และบีโอไอได้มีการเตรียมข้อมูลไว้ก่อนอย่างดีมาก
เมื่อถามว่า มีการประเมินหรือไม่ว่าโอกาสในการหารือจะสำเร็จกี่เปอร์เซ็นต์ ในรัฐบาลชุดนี้ นายกฯ กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลตน 4 ปีทุกโครงการก็สำเร็จ เพราะเขาจะเข้ามาเร็ว บางอันก็เข้ามาปีหน้าแล้วและขณะนี้บางเรื่องก็เริ่มการลงทุนแล้ว แต่อาจจะมีเรื่องของรถยนต์ไฮโดรเจน ซึ่งตนไม่แน่ใจว่าใช้ระยะเวลานานแค่ไหนแต่เรื่องอื่นก็กำลังดำเนินการอยู่.