เมืองไทย 360 องศา
อาจกำลังจะเป็นยุคผู้หญิงครองเมืองแล้วก็ได้ หลังจากได้เห็นผู้หญิงหลายคนกำลังเดินออกมาสู่แถวหน้า นั่งเก้าอี้ในตำแหน่งสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในวงการปกครอง วงการธุรกิจ รวมไปถึงวงการเมือง ที่เริ่มขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้น อย่างไรก็ดี นาทีนี้ต้องโฟกัสกันที่ “ผู้หญิง 3 คน” ที่กำลังลงชิงชัยในตำแหน่งสำคัญ
เริ่มจากรายแรกคือ “มาดามแป้ง” นางนวลพรรณ ล่ำซำ นักธุรกิจชื่อดัง ประธานสโมสรฟุตบอลการท่าเรือ ผู้จัดการฟุตบอลทีมชาติไทย ที่ล่าสุดได้ประกาศลงสมัครชิงตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย พร้อมทั้งเปิดตัวทีมงาน พร้อมผู้สนับสนุน ที่เป็นเจ้าของทีมฟุตบอลออกมาแบบพร้อมหน้าพร้อมตา เนื่องจากแต่ละคนล้วนเป็นระดับ “บิ๊ก” ทั้งสิ้น
โดยเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ที่ผ่านมา นางนวลพรรณ ล่ำซำ ได้แถลงข่าวเปิดตัวทีมสภากรรมการ เพื่อลงสมัครตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย โดยมี เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ยูในเต็ด เป็นที่ปรึกษา
ส่วนตำแหน่งอุปนายกสมาคมฯ ประกอบด้วย นายปวิณ ภิรมย์ภักดี ประธานสโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด นายวิลักษณ์ โหลทอง ประธานสโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด นายอรรณพ สิงห์โตทอง รองประธานสโมสรชลบุรี เอฟซี นายอดิศักดิ์ เบ็ญจศิริวรรณ อุปนายกสมาคม ฝ่ายฟุตซอล นายชาญวิทย์ ผลชีวิน อดีตกุนซือทีมชาติไทย
กรรมการกลาง นายมิตติ ติยะไพรัช ประธานสโมสรลีโอ เชียงราย ยูไนเต็ด นายอนุรุทธิ์ นาคาศัย ตัวแทนจากชัยนาท ฮอร์นบิล นายประมูลชัย นพสุวรรณวงศ์ จากบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด นายทรงเกียรติ ลิ้มอนุรักษ์ ประธานสโมสรพีที ประจวบ เอฟซี นายธนวัชร์ นิติกาญจนา ประธานสโมสร “ราชันมังกร” ราชบุรี เอฟซี นางกฤษยา ภู่มงคลสุริยา รองประธานสโมสรหนองบัว พิชญ เอฟซี, พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผช.ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ น.ท.นพ.พรเทพ ม้ามณี ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์การกีฬาและออกกำลังกายกรุงเทพ (BASEM) โรงพยาบาลกรุงเทพ ในฐานะแพทย์ประจำทีมกีฬาไทย นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ส.ส.พรรคเพื่อไทย พ.ต.ท.หม่อมหลวง กิติบดี ประวิตร จากสโมสรราชประชา นายกุดั่น สุขุมานนท์ และ นายปิยะพงษ์ ผิวอ่อน อดีตกองหน้าทีมชาติไทย
นางนวลพรรณ กล่าวว่า “ที่ผ่านมาจะเห็นสมาคมฟุตบอลแบ่งคนละฝั่ง แต่วันนี้จะเห็นทุกคนในวงการฟุตบอลมาร่วมมือกัน ไม่มีการแบ่งฝ่าย ทุกคนพร้อมทำงานร่วมกัน ขณะนี้มีสโมสรที่รับรองตนเองเป็นนายกสมาคมกว่า 60 สโมสรแล้ว และจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด แม้ว่าตนเองจะเป็นผู้หญิง แต่การที่อยู่ในวงการฟุตบอลมา 16 ปี แสดงให้เห็นแล้วว่าตัวเองรักในวงการฟุตบอล”
“ส่วนการที่แป้งยังนั่งเป็นประธานสโมสรการท่าเรือ แป้งจะลงจากตำแหน่งประธานท่าเรือ ในวันที่ 25 ธันวาคม เพื่อขจัดเสียงวิจารณ์ต่างๆ ที่จะตามมา” เธอระบุ และว่า หลังจากนี้จะเดินทางไปแจงนโยบายกับสโมสรต่าง ๆ และจะเดินทางไปพบกับทุกทีม วันที่ 6 ธันวาคม จะไปยื่นสมัครนายกสมาคมฯ หากได้ตำแหน่ง เรื่องแรกที่จะแก้ไขก็คือ เรื่องสิทธิประโยชน์คงจะมีการพูดคุยกันใหม่ เพราะที่ผ่านมาเงินมาจากลิขสิทธิ์ถ่ายทอด และคงจะแก้ปัญหานี้เป็นเรื่องแรก
หากพิจารณาตามรายชื่อข้างต้นแล้ว ก็ค่อนข้างมั่นใจได้เลยว่า ว่าที่นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯคนต่อไป ที่จะมาแทน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่ได้ประกาศลาออกไปแล้ว หลังจากดำรงตำแหน่งมาถึงสองสมัย ต้องเป็น “มาดามแป้ง” แทบจะแบเบอร์ ไร้คู่แข่งแน่นอน
อย่างไรก็ดี จะว่าไปแล้วหากพิจารณากันจากภาพลักษณ์ส่วนตัวของเธอ ที่ผ่านมาถือว่า เธอมีภาพลักษณ์ที่ดี มีชื่อเสียงในวงกว้าง และมักถูกจับตามาตลอดว่า เธอจะเดินไปในเส้นทางการเมืองในอนาคตอย่างเต็มตัวหรือไม่ แต่ก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อมีการเลือกตั้งทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสนามท้องถิ่น อย่างผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร “มาดามแป้ง” ก็ถูกจับตามอง และมีเสียงเรียกร้องให้ลงสมัคร รวมไปถึงสนามการเมืองระดับชาติ ก็มักถูกทาบทามให้เข้าพรรค หรือมาเป็นหัวหน้าพรรค แต่ก็ยังได้รับการปฏิเสธ แต่เป้าหมายที่ชัดเจนในเวลานี้ก็คือ ลงสมัครชิงตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลซึ่งได้ประกาศเปิดตัวทีมงานไปอย่างยิ่งใหญ่เรียบร้อยแล้ว
เอาเป็นว่า สำหรับเธอคนนี้ หากสามารถฝากผลงาน โดยเฉพาะหากสามารถ “พาบอลไทยไปบอลโลก” ได้ตามความฝันแล้ว รับรองว่าหลังจากนั้นไม่ว่าตำแหน่งอะไรก็คงไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว
ส่วนผู้หญิงคนต่อไปที่ต้องจับตาก็คือ “มาดามเดียร์” น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ที่เปิดตัวชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ ไปเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่สำหรับเธอยังต้องฝ่าด่านยากที่รออยู่ตรงหน้าก็คือ “กติกา” หรือข้อบังคับพรรคที่กำหนดเอาไว้ในข้อที่ 31 ข้อ 32 เช่น ระบุว่า ต้องเคยเป็นสมาชิกพรรคติดต่อกันไม่น้อยกว่า 5 ปี เคยเป็น ส.ส. เคยเป็นรัฐมนตรีในนามพรรค เคยเป็นกรรมการบริหารพรรค เคยเป็นกรรมการสาขาพรรค เป็นต้น เรียกว่าแค่นี้เธอก็ไม่ผ่านแล้ว
อย่างไรก็ดี ต้องการเสียงโหวตในที่ประชุมพรรคเบื้องต้นก่อนว่า จะได้รับไฟเขียวหรือไม่ ซึ่งต้องใช้เสียง สามในสี่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับเพาเวอร์ส่วนตัว ว่าสามารถโน้มน้าวสมาชิกพรรคได้แค่ไหน แต่เมื่อพิจารณาจากผลโพลสำรวจความเห็นจากภายนอก ผลปรากฏว่า เธอได้รับความนิยมมาเป็นอันดับหนึ่ง เหนือกว่าผู้สมัครคนอื่น รวมไปถึงมากกว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค ที่คาดว่าจะลงสมัครอีกครั้ง
การลงสมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คราวนี้ ถือว่ามีความน่าสนใจที่มีผู้หญิงลงแข่งขัน และหาก น.ส.วทันยา ได้ชัยชนะ ก็จะเป็นหัวหน้าพรรคหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ของพรรคนับตั้งแต่ก่อตั้งมาเกือบ 80 ปี และน่าลุ้นได้เหมือนกัน ว่าพรรคนี้จะก้าวข้ามวัฒนธรรมประเพณีเก่าๆ ภายในพรรคได้หรือไม่
อีกรายที่เหลือก็คือ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ลูกสาวของนายทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังถูกจับตามองว่า จะเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สอง ของครอบครัวในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า สืบต่อจาก นายเศรษฐา ทวีสิน หรือไม่
อย่างไรก็ดี สำหรับกรณีของ “อุ๊งอิ๊ง” อาจเป็นข้อยกเว้น เมื่อเทียบเคียงกับสองคนข้างต้น เพราะสถานะของเธอถูกมองแบบให้น้ำหนักไปที่ “ลูกเถ้าแก่” มากกว่าการไต่เต้าแข่งขันมาด้วยตัวเอง ทุกอย่างเหมือนกับถูกจัดวางเอาไว้ให้ล่วงหน้าแล้ว เพียงแต่ว่า “ได้จังหวะ”เหมาะสมแค่ไหนเท่านั้นเอง แต่หากพิจารณาในภาพรวมแล้ว เธอก็ถือเป็น “เต็งจ๋า” สำหรับเก้าอี้ นายกรัฐมนตรีคนต่อไปเหมือนกัน แต่ขณะเดียวกัน สำหรับการเมืองไทยทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงชั่วข้ามคืน อะไรก็เกิดขึ้นได้
ดังนั้น หากพิจารณาเปรียบเทียบ “ผู้หญิง” ทั้งสามคนดังกล่าว มีจุดเด่นจุดด้อยแตกต่างกัน แต่ก็ถือว่า “น่าจับตา” กันทุกคน ส่วนใครจะไปถึงเป้าหมายหรือไม่ ก็ต้องติดตาม เพราะถือว่าเป็นตัวเต็งในระดับสังคมยุคใหม่ด้วยกันทั้งสิ้น !!