เมืองไทย 360 องศา
พิจารณาตามรูปการณ์แล้ว โอกาสที่รัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน จะเดินหน้าโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต หัวละ 1 หมื่นบาท นั้น เป็นไปได้ยากแล้ว เพราะเวลานี้ทุกอย่างดูเงียบผิดสังเกต จนแทบจะ “ไม่มีความเคลื่อนไหว” ใดๆ ออกมาให้เห็นเลย ที่สำคัญ จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่ได้มีหนังสือไปสอบถามคณะกรรมการกฤษฎีกาแต่อย่างใด จะเรียกว่า “ช้า” หรือ “เงียบ” จนผิดปกติ ก็ได้
ก่อนหน้านี้ นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ยืนยันว่า ยังไม่ได้รับหนังสือข้อสอบถามเรื่องการออกพระราชบัญญัติเงินกู้ 5 แสนล้านบาท เพื่อนำมาใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต แจกเงินคนละ 10,000 บาท โดยได้สอบถาม นายจุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่เป็นประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต โดยได้รับคำตอบว่า “กำลังดูอยู่” พร้อมกับโอดครวญว่า “ผมถูกด่าฟรี” เพราะเข้าใจว่าทำงานล่าช้า
นายปกรณ์ เคยอธิบายขั้นตอนว่า เมื่อคณะกรรมการดิจิทัลวอลเล็ตชุดใหญ่ มีมติให้กระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นฝ่ายเลขานุการ ถามมาที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา หากพบเงื่อนไขจะสามารถกู้ได้หรือไม่ เท่านั้น โดยมติมีเพียงแค่นั้น ยังไม่ได้ไปถึงขั้นตอนการยกร่างกฎหมาย ขอย้ำว่า เป็นการให้ถามคำถามเท่านั้น เมื่อส่งคำถามมาแล้วจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาตามปกติ โดยไม่มีการตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษแต่อย่างใด ทุกอย่างเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา ถ้าเข้าเงื่อนไขก็สามารถทำได้ ถ้าไม่เข้าเงื่อนไข ก็ทำไม่ได้ คำตอบมีเพียงเท่านั้น หากสามารถทำได้ ก็จะเป็นการยกร่างกฎหมายอีกขั้นตอนหนึ่ง
อย่างไรก็ดี หลังจากนั้น หากจำกันได้ เมื่อปรากฏว่าเกิดข้อสงสัยกันว่าทำไมรัฐบาลยังไม่ส่งคำถามไปถึงคณะกรรมการกฤษฎีกา นายจุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัล ซึ่งถือว่าได้รับมอบหมายให้เป็น “แม่งาน” ในโครงการดังกล่าว ก็ออกมาย้ำว่า จะส่งหนังสือสอบถามไปภายในสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เมื่อล่วงมาถึงสัปดาห์นี้ ทุกอย่างก็ “ยังเงียบ” เหมือนเดิม
ที่ผ่านมา นายจุลพันธุ์ เคยให้สัมภาษณ์ในรายการทางโทรทัศน์ช่องหนึ่ง ยอมรับว่า ยังไม่มีกำหนดเวลาในการส่งหนังสือสอบถามไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยอ้างว่า ต้องพิจารณาให้รอบคอบ เนื่องจากต้องรับฟังความเห็น รวมถึงข้อทักท้วงจากหลายฝ่ายให้รอบด้าน อะไรประมาณนั้น
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากท่าทีจากแกนนำรัฐบาลบางคน ไม่ว่าจะเป็น นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะสังเกตเห็นว่า จะไม่มีการพูดถึงโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตแต่อย่างใด โดยเวลานี้กลับหันไป “ตีปี๊บเรื่องการแก้หนี้” โดยเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน เขาได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวใหญ่ในเรื่องดังกล่าว โดยแทบจะไม่มีการพูดถึงความคืบหน้าของโครงการ “แจกเงินดิจิทัล” แต่อย่างใด
ดังนั้น หากพิจารณากันถึงตอนนี้ก็ต้องถือว่า โครงการเงินดิจิทัล เหมือนกับการ “หยุดนิ่ง” อยู่กับที่ไปแล้ว เพราะทุกอย่างดูเงียบเชียบจนผิดสังเกต หากเทียบกับก่อนหน้านี้ ที่ทุกฝ่ายในพรรคเพื่อไทย ในรัฐบาลแทบทุกคน ไม่ว่าจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวข้อง ต่างดาหน้าออกมาพูดกันทุกวัน มีการตอบโต้ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการ “กู้มาแจก” หรือก่อนหน้านั้น เมื่อครั้งเป็นรัฐบาลใหม่ๆ ที่ยังยืนกรานว่า “ไม่กู้สักบาท” ก็กล่าวหาคนที่คิดต่างว่า “พวกไม่เข้าใจคนจน” หรือไม่เคยจน เลยไม่เข้าใจ “พูดกันเอาหล่อ” แต่พอทุกอย่างกลายเป็นตรงกันข้าม จากบอกว่าไม่กู้ มาเป็นกู้มาแจก “เสียงก็เริ่มอ่อย” ลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเงียบเสียงไปในที่สุด
ทั้งที่จะว่าไปแล้ว หากโครงการแจกเงินดิจิทัลที่ว่านี้มีความพร้อม มีการวางแผนออกแบบกันมาอย่างรัดกุมก่อนออกเป็นนโยบายพรรคสำหรับใช้ในการหาเสียง เมื่อเป็นรัฐบาลแล้วก็สามารถผลักดันออกมาเป็นนโยบายรัฐบาลได้ทันที แต่นี่ทุกอย่างกลับกลายเป็นตรงกันข้าม เหมือนกับว่าที่ผ่านมามีการชูขึ้นมาเพื่อหวังได้คะแนนเสียงจากชาวบ้านเท่านั้น
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุถึงกรณีที่รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิธรรม เวชยชัย กล่าวถึงการยื่นร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ให้กับคณะกรรมการกฤษฎีกาล่าช้า เป็นเพราะรัฐบาลรับฟังความเห็นของทุกฝ่าย ว่า การรับฟังความเห็นของทุกฝ่ายเป็นเรื่องที่กระทำได้ แต่ความล่าช้าในเรื่องนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับการรับฟังความเห็นของทุกฝ่ายแต่อย่างใด ว่า ความล่าช้าของการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เป็นเพราะรัฐบาลไม่ได้เตรียมความพร้อมศึกษามาอย่างละเอียดรอบคอบ ตั้งแต่ประกาศเป็นนโยบายสำคัญใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา
พอมาเป็นรัฐบาล จึงไม่สามารถลงมือทำทันที รัฐบาลยังมะงุมมะงาหรา ไม่รู้จักเดินหน้ายังไง ทั้งเรื่องแหล่งที่มาของเงิน ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะกู้เงิน หรือใช้งบประมาณปกติ หรือใช้เงินจากออมสิน รวมไปถึงวิธีการดำเนินงาน ก็ไม่ชัดเจนว่าจะใช้แบบไหน การแจกเงินดิจิทัลจะผิดกฎหมายหรือไม่
ความไม่พร้อมของรัฐบาล ตั้งแต่เริ่มต้นประกาศนโยบายหาเสียง จนถึงวันนี้ที่ยังไม่สามารถยื่นร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา จึงชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลทำเรื่องนี้ล่าช้า เพราะไม่ได้คิดเรื่องนี้ให้จบครบถ้วนตั้งแต่ต้น ไม่ใช่ล่าช้าเพราะฟังความเห็นจากทุกฝ่ายแต่อย่างใด
นั่นเป็นความเห็นของฝ่ายที่เห็นต่าง และวิเคราะห์ให้เห็นถึงสาเหตุที่แท้จริงว่า ทำไมถึงยังล่าช้าไปไม่ถึงไหน ขณะเดียวกัน ที่สำคัญหากยังเดินหน้าต่อไป ก็คงรับรู้กันอยู่แล้วว่า ปลายทางข้างหน้ามันจะ “เสี่ยงคุก” ขนาดไหน อีกทั้งทุกอย่างมันก็ไม่เป็นใจ ไม่ว่าจะเป็นความพยายามที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเกิดภาวะ “วิกฤต” ให้ได้ โดยเฉพาะ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รวมไปถึงคนสำคัญในรัฐบาล ต่างพยายามนิยามให้เศรษฐกิจเกิดวิกฤตให้ได้ เพื่อหวังจะได้เข้าข่ายตามเงื่อนไขทางกฎหมายให้สามารถ “กู้เงินโดยเร่งด่วน” เพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจ
ดังนั้น หากพิจารณาจากท่าทีและความเคลื่อนไหวล่าสุดของรัฐบาล โดยเฉพาะจากฝ่ายที่เคยขับเคลื่อนนโยบายไม่ว่าจะเป็น นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายจุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่เคยได้รับมอบหมายให้เป็น “แม่งาน” ที่เวลานี้เหมือนกับว่าทุกอย่างกำลัง “หยุดนิ่ง” ทำให้เห็นแนวโน้มแล้วว่า ในที่สุดแล้วคงต้องล้มโครงการ และนั่นก็หมายความว่า ชาวบ้านก็ “แห้ว ไม่ได้รับแจกเงินดิจิทัลหมื่นบาท” ในที่สุด
เพียงแต่ต้องจับตามองว่าอีกว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะหาทางลงแบบเนียนๆ ได้อย่างไร เท่านั้นเอง !!