ข่าวปนคน คนปนข่าว
**เคยไหมที่จะพูดความจริงสักครั้ง?! "ธนาธร การละคร" ยอมรับแล้วเจอ "โทนี่" ที่ฮ่องกง
“ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้า เคยถูกจับโป๊ะว่าบินไปพบ "โทนี่" ทักษิณ ชินวัตร ที่ฮ่องกง ช่วงที่พรรคก้าวไกล จับมือกับพรรคเพื่อไทย เพื่อจัดตั้งรัฐบาล
ตอนนั้น “ธนาธรและพรรคพวก” เถียงคอเป็นเอ็นว่า ไม่ได้ไป ไม่มี "ซูเปอร์ดีล" อะไรทั้งสิ้นกับ ทักษิณ
"ช่อ" พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ถึงกับโบ้ยใบ้ว่า เป็นเรื่อง "ข่าวปั่น" นั่งยันนอนยัน “ธนาธร”อยู่เมืองไทย และอยู่ในกรุงเทพฯ
มาวันนี้ “ธนาธร” ออกรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” ของพี่ยุทธ "สรยุทธ สุทัศนะจินดา" กลับยอมรับว่าไปหา “โทนี่” จริง แต่ไว้เชิงว่า เป็นเรื่องธรรมดาของนักการเมืองที่ต้องพบปะพูดคุยกัน ไม่มีซูเปอร์ดีลอะไร เพราะตัวเองไม่ได้มีตำแหน่งในก้าวไกล ขืนไปคุยอะไร จะไปต่อรองอะไรต่อมิอะไร ก็จะต้องถูก "ยุบพรรค" น่ะสิ
งานนี้ไม่ต้องพูดอะไรกันมาก หลายคน "ตาสว่างวาบ" ขึ้นมาทันที ยิ่งกองเชียร์ส้ม ต่างยกมือกุมอก อุทานกับตัว โธ่ถัง! “ธนาธร การละคร”!!
มิน่าล่ะ ...บรรดาพวกก้าวหน้า หรือจะก้าวไกล ไม่มีใครพูดถึง "คนที่อยู่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ" เลยสักแอะ!
เรื่องนี้พิสูจน์ว่า จากวันนั้นถึงวันนี้ ความสัมพันธ์ระหว่าง “ทักษิณกับธนาธร” แสดงออกอย่างชัดเจนว่า ดีต่อกันแค่ไหน
ที่ผ่านมา จับไม่ได้ ไล่ไม่ทัน ก็โกหกพกลมเล่นละครให้ "ด้อมส้ม" ดู ติ่งทั้งหลายก็หลงใหลคลั่งไคล้ หลงเชื่อไปว่า "คนรุ่นใหม่" ไม่เล่นการเมืองแบบ "คนรุ่นเก่า"
สุดท้ายนี่ “ธนาธรละครน้ำเน่า” ยิ่งกว่านักการเมืองเขี้ยวลากดินที่เคยไปด้อยค่าเขา ว่าเป็นไดโนเสาร์
แม้จะยอมรับว่า บินไปหา “โทนี่” จริง แต่ปฏิเสธ ไม่ได้ต่อรองอะไรกับทักษิณ ถามจริงๆว่า ใครจะเชื่อ!?
“ธนาธร”สู้อุตสาห์บินไปฮ่องกงเพื่อพบทักษิณ เพียงแค่ถามสารทุกข์สุขดิบ กลับไทยจะใช้ชีวิตเลี้ยงหลานอย่างไร?
ไม่ว่ากัน “ธนาธร” คือนักการเมืองและ ตอนนี้มีดีกรีเพิ่มเติมเป็น “ธนาธรการละคร” จะพูดอะไร พูดให้หล่อแค่ไหนก็พูดได้
แต่การไม่ยอมรับว่าไปเจอ “ทักษิณ”ในตอนแรกแล้วมายอมรับในวันนี้ ย่อมสะท้อนถึงพฤติกรรมที่แล้วๆ มาของตัวเองและพวกพ้องทั้งคณะก้าวหน้า และก้าวไกล
เคยไหมที่จะพูดความจริงสักครั้ง!?
**“พิธา”ขาลง วันก่อนไปไหน ใครๆก็ขอถ่ายรูป...แต่วันนี้มีโห่ไล่
ช่วงนี้ พรรคก้าวไกล “เสื่อม”ลงไปเยอะ ทั้งชื่อเสียง ภาพลักษณ์ หลังพลาดจากการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ด้วยยืนกรานจะแก้ ม.112 ให้ได้ เลยถูกโดดเดี่ยว ไม่มีพรรคการเมืองใดเข้าร่วม ต้องกลับกลายเป็นแกนนำฝ่ายค้าน จากนั้นก็มีแต่เรื่องในทางลบ ทัวร์ลง ไม่ว่าจะเป็นกรณี สส.เมาแล้วขับ สส.ที่เคยต้องคดีลักทรัพย์ ปัญหาคุกคามทางเพศทีมงานหาเสียงของตัวเอง ปัญหาสองมาตรฐาน ความไม่เท่าเทียมในพรรค แถมติดพูดขาวเป็นดำ ดำเป็นขาวกันจนเป็นนิสัย
ล่าสุด ก็ไปเห็นดีเห็นงามกับ กลุ่มนักเรียนเลว กลุ่มทะลุวัง ที่ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้าน การขึ้นสแตนเชียร์ แปรอักษร “งานบอลจตุรมิตร” จนถูกต่อต้านจากทั้ง 4 โรงเรียน สวนกุหลาบ เทพศิรินทร์ อัสสัมชัญ และกรุงเทพคริสเตียน
เสาร์ 18 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เป็นนัดชิงชนะเลิศ ระหว่าง “สวนกุหลาบ-กรุงเทพคริสเตียน” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งเป็นศิษย์เก่า กรุงเทพคริสเตียน ก็ใส่เสื้อม่วง หวังจะเข้าไปให้กำลังใจรุ่นน้อง ก็ตรงดิ่งไปที่บริเวณสแตนเชียร์ของโรงเรียน
ปรากฏว่าไม่มีใครมาห้อมล้ม ทักทาย ขอถ่ายรูป แต่ “พิธา” ถูกโห่ไล่!! เล่นเอาหน้าเสีย ต้องปฏิเสธพัลวันว่าตนเองไม่เกี่ยว กับเรื่องต่อต้านการแปรอักษร
ช่างต่างกับเมื่อช่วงเดือนสิหาคมที่ผ่านมา ที่ทางโรงเรียนจัดงานครบรอบ 171 ปี การสถาปนา โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ซึ่งครั้งนั้น สำหรับลูกชงโคสีม่วงทองแล้ว “พิธา” เป็นศิษย์เก่าคนแรก ที่เป็นถึง “ว่าที่นายกรัฐมนตรี” ต่างจาก “โรงเรียนสวนกุหลาบ” ที่มี “ลูกชมพูฟ้า” เป็นนายกรัฐมนตรีไปแล้วหลายคน
“พิธา” จึงได้รับการต้อนรับจากคณาจารย์ ศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน แห่แหน ห้อมล้อม ขอจับมือ ขอถ่ายรูปกับว่าที่นายกฯ บรรยากาศคึกคักมาก
ต่างกันลิบลับกับวันนี้ ที่พรรคก้าวไกล เอา “การเมือง” เข้าไปแทรกในงานฟุตบอลประเพณีจตุรมิตร จน “พิธา”โดนคนกันเองโห่ !!
ยังมีประเด็นดรามา ที่ “พิธา” บอกว่าสมัยเรียน เขาเคยขึ้นสแตนเชียร์ แปรอักษร สองครั้ง... ทำให้มีผู้ให้ความสนใจไปขุดค้นประวัติการเรียนของ “พิธา” เพราะปกติแล้ว นักเรียนที่จะได้ขึ้นสแตนเชียร์ในแต่ละปีที่จัดงาน จะเป็นนักเรียนชั้น ม. 2 , ม.3 และ ม.4 ซึ่งฟุตบอลจตุรมิตร จะมี 2 ปีครั้ง คือถ้าได้ขึ้นสแตนตอน ม. 2 ก็จะขึ้นตอน ม.4 ได้อีกครั้ง
แต่จากการเสิร์ชหาประวัติการศึกษาของ “พิธา” ที่พบว่าเขาเรียนที่กรุงเทพคริสเตียน ในระดับประถมศึกษาแล้วไปเรียนต่อที่นิวซีแลนด์ตอนอายุ 11 ปี แล้วอย่างนี้จะขึ้นสแตนเชียร์ได้อย่างไร
บางข้อมูลก็บอกว่า พิธา เรียนถึงมัธยมต้น แล้วไปต่อมัธยมปลายที่นิวซีแลนด์ และมีรูป “พิธา” ในชุดนักเรียนมัธยมต้นมายืนยันด้วย...ถ้าเรียนมัธยมต้น แต่ไม่ได้เรียนมัธยมปลาย แล้วบอกว่าขึ้นสแตนเชียร์ 2 ครั้ง ก็คงจะเป็นการขึ้นในวันเปิดงาน กับวันปิดงาน
ขณะที่ตัว “พิธา” เองเคยให้สัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง พิธีกรถามถึงการไปเรียนต่อที่ประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่ง พิธา ตอบว่า "ตอนไป 3 เดือนแรกร้องไห้ทุกคืน ยังเด็กอยู่ 11 ขวบ" ...ถ้า 11 ขวบ ก็ไม่น่าจะออกจากกรุงเทพคริสเตียน ตอนจบ ม.3
แต่ก็มีข้อมูลที่ “พิธา” ให้สัมภาษณ์ในต่างวาระ ว่า ที่ต้องไปเรียนนิวซีแลนด์ เพราะเรียนที่เมืองไทยเป็นเด็กเกเรมาก หนีโรงเรียน มีเรื่องชกต่อย สูบบุหรี่ พ่อเลยต้องส่งไปเรียนนิวซีแลนด์ ทำให้เขาได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง ทั้งต้องหาเงินใช้เองจากการทำงานพิเศษหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น ปั่นจักรยานส่งหนังสือพิมพ์ ส่งนม ทำงานพาร์ตไทม์ มากมาย สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาเปลี่ยนตัวเองทั้งด้านพฤติกรรม ความคิด
ถ้า “พิธา” เป็นเด็กเกเรอย่างที่ว่ามา ก็น่าจะอยู่ในช่วงวัยรุ่นมัธยม มากกว่าเป็นเด็กประถม
ประเด็นเรื่องอายุของพิธานี้ บนโซเชียลฯ มีการวิพากษ์วิจารณ์ กรณีที่เว็บไซต์วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี มีคนไปแก้ไขประวัติ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” กรณีเข้าศึกษาในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ต่อมา พงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้เป็นบิดา ส่งพิธา ไปศึกษาต่อที่ประเทศนิวซีแลนด์ โดยแก้ไขจากของเดิมอายุ 11 ขวบ เป็นอายุ 16 ปี แล้วก็มีการแก้กลับมาที่ 11 ขวบเหมือนเดิม
วันนี้ ประเด็น “พิธา” จะไปเรียนนิวซีแลนด์ ตอนอายุ 11 ขวบ หรือ 16 ปี ไม่น่าสนใจเท่าไร เพราะความจริงนั้นมีหนึ่งเดียว
แต่การให้สัมภาษณ์ของ “พิธา”ในแต่ละครั้งน่าสนใจกว่า เพราะทั้งย้อนแย้ง ไม่ตรงกัน...นี่ต่างหากที่เป็นประเด็น ซึ่งจะว่าไปก็เหมาะสมแล้ว ที่เขาเคยได้รับฉายา “พิธาคิโอ”