xs
xsm
sm
md
lg

ลมเปลี่ยนทิศ บีบกระแสป่วนลดฮวบ !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
เมืองไทย 360 องศา

แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นเรื่อง “การเมืองต่างขั้ว” ก็ตาม แต่หากสังเกตตามอาการและบรรยากาศแล้ว มันมีผลมาอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่า หากโฟกัสไปที่กลุ่มเครือข่าย “สามนิ้ว” รวมไปถึงกลุ่มที่มีเจตนา “ล้มเจ้า” ที่เคยเคลื่อนไหวในช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือในยุค “สาม ป.” ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นช่วงที่พวกเขาเคลื่อนไหวกันอย่างคึกคักและเร่าร้อน โดยเฉพาะในช่วงยุคต้นปี 62 ที่เริ่มจุดกระแส “ล้มเจ้า” กันร้อนแรง

การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นได้พยายามขายเงื่อนไข “เผด็จการสืบทอดอำนาจ” อย่างได้ผล โดยเฉพาะกับพวก “เด็กรุ่นใหม่” ผ่านทางรั้วมหาวิทยาลัย มีการทำกิจกรรมปลุกเร้ากันอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงมีบรรดา “อาจารย์” ในมหาวิทยาลัยไม่น้อย บางคนเคยเคียดแค้นสถาบันฯ พยายามทำตัวเป็น “ผู้นำทางความคิด” ต่างเร่งปลุกระดมกันอย่างเต็มที่ เรียกว่า บรรยากาศในช่วงนั้นเหมือนกับ “จุดติด” ขึ้นมาแล้ว

ประกอบกับบางพรรคการเมืองที่ในเวลานั้นต่างเคลื่อนไหวสอดประสานกันอย่างลงตัว เช่น พรรคก้าวไกล หรือแม้แต่พรรคเพื่อไทย ในเวลานั้น แม้อาจจะไม่ใช่แสดงออกชัดเจนเปิดเผยนัก แต่อย่างน้อยก็เป็นการหาแนวร่วมจากมวลชนพวกนั้น และแม้ว่าในช่วงหลังการเคลื่อนไหวของพวก “ม็อบสามนิ้ว” จะเริ่มฝ่อลงและอ่อนแรงลงไปมาก อาจเป็นเพราะบางครั้งวิธีการที่รุนแรง หยาบคาย ใช้วิธีการที่เกินเลย ประกอบกับอีกฝ่ายมีการ “ตั้งรับอย่างมั่นคง” และไม่ยอมเป็นเป้านิ่ง ตรงกันข้ามมีการใช้ข้อมูล ข้อเท็จจริงมาตอบโต้

อีกทั้งด้วยเงื่อนไขที่ถือว่า “ไม่สุกงอมพอ” ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาล “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ยังมีมวลชนสนับสนุนอยู่เป็นจำนวนมาก มีผลงาน ไม่มีเรื่องทุจริตคอร์รัปชันใหญ่โต จนกลายเป็นกระแสต่อต้านหนักๆ เหมือนเช่นรัฐบาลในอดีต ที่ต้องล้มไป และที่สำคัญ “สถาบันพระมหากษัตริย์” ยังเป็น “ศูนย์รวมใจ” ของคนไทยส่วนใหญ่ ยากที่จะโยกคลอนได้ จนเวลาผ่านไปยิ่งเข้มแข็ง

ตรงกันข้ามกับฝ่าย “สามนิ้ว” ที่นับวันยิ่งร่วงโรย บรรดาแกนนำก็ยิ่งสะสมคดี จนบางคนแม้ว่าในช่วงแรกๆ จะทำท่าไม่แคร์ว่าตัวเองจะโดนคดีมากมาย โดยเฉพาะความผิดตาม มาตรา 112 เพราะบางคนอาจยังเป็นวัยรุ่น ยังเคลิบเคลิ้มไปกับแรงยุแรงเชียร์ ยังไม่รู้สึกกลัวคิดว่ามีแบ็กดีอยู่ข้างหลัง แต่ยิ่งนานวัน เมื่อต้องเดินขึ้นศาลจนแทบรายวัน มีคดียาวเป็นหางว่าว รับรองว่า ไม่ว่าใครก็คงไม่สนุกแน่ เพราะทุกอย่างย่อมมีค่าใช้จ่าย

สังเกตดูก็ได้จะเห็นว่า แกนนำสามนิ้ว ทั้งที่มีชื่อ เช่น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล นายอานนท์ นำภา เป็นต้น คนพวกนี้สะสมคดีจำนวนมาก และเริ่มทยอยมีคำตัดสินพิพากษาจากศาลออกมาเรื่อยๆ แม้ว่าอาจจะยังไม่ถึงที่สุด ยังเป็นศาลชั้นต้น แต่ก็ต้องลุ้นประกันตัว เหมือนกับ นายอานนท์ นำภา ที่เวลานี้ถูกจำคุกในเรือนจำ ยังไม่ได้ประกันตัว แม้ว่าพยายามจะเคลื่อนไหวสร้างกระแสในคุกก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการ “เขียนจดหมาย” แต่ก็แทบไม่ได้เป็นกระแสใดๆ ออกมาเลย หากเทียบเคียงกับในยุคก่อนหน้านี้ ที่บรรยากาศคึกคักเร่าร้อน แต่วันนี้ทุกอย่างแทบจะ “โดดเดี่ยว เดียวดาย” อาจมีคนในครอบครัวเท่านั้น ที่ยังติดตาม ส่วนมวลชน หรือสังคมทั่วไปแทบจะไม่มีใครสนใจ ไม่มีแม้แต่กำลังใจในวันไปขึ้นศาล ซึ่งเชื่อว่ายิ่งนับวันก็ยิ่งจะถูกลืมไปเรื่อยๆ

สาเหตุที่เป็นแบบนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ “สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง” ไป การเคลื่อนไหวของพวกม็อบ สร้างความเดือดร้อนรำคาญ เคลื่อนไหวในสิ่งที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ต้องการ เช่น เรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบัน โดยที่ไม่ได้มีเงื่อนไขกดดันอะไร ประกอบกับอีกฝ่ายที่สนับสนุนสถาบัน ต่างก็มีข้อมูลมาหักล้างได้ตลอดเวลา อีกทั้งสังคมยังมองเห็นความจำเป็นของการคงอยู่ของสถาบัน จนเทียบไม่ได้กับเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงในบางประเทศ ยิ่งได้เห็นแบ็กกราวด์ของพวกแกนนำที่ต่างก็ไม่ได้มีภูมิความรู้ความสามารถอะไรจนเป็นที่พึ่งหวังได้เลย หลายคนยังเป็นนักศึกษา ไม่ได้มีประสบการณ์ มีความสำเร็จจนเป็นที่ประจักษ์ได้เลย เพราะชีวิตของชาวบ้านส่วนใหญ่พึ่งพาตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพา หรือต้องการผู้นำแบบม็อบสามนิ้วพวกนี้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ดี สำหรับกระแสที่เรียกว่า เปลี่ยนแทบจะ “หน้ามือเป็นหลังมือ” อย่างที่เห็น สิ่งสำคัญก็คืออาจเรียกว่า “ลมเปลี่ยนทิศ” แล้วก็เป็นได้ นอกเหนือจากการเรียกร้องในสิ่งที่ “ชาวบ้านไม่ได้ต้องการ” ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นต้น และหลังจากที่ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา วางมือทางการเมือง “เงื่อนไข” ในเรื่อง “เผด็จการ” ที่บางกลุ่มการเมืองเคยนำมาใช้เป็นเครื่องมือเคลื่อนไหวมานานหลายปีก็หมดลง กลายเป็นเรื่องของการต่อสู้กันระหว่าง “พวกประชาธิปไตย” ด้วยกันเอง เช่น รัฐบาลพรรคเพื่อไทย กับพรรคก้าวไกล ที่ต้องขับเคี่ยวกันเอง กลายเป็นคู่แข่งตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงสนามเลือกตั้งคราวหน้า

ขณะที่หากโฟกัสให้แคบลงมาก็ได้เห็นการ “ถดถอย” ของพรรคก้าวไกล จากหลายเรื่องราวจนกลายเป็น “เรื่องอื้อฉาว” โดยเฉพาะเรื่อง “คุกคามทางเพศ” ที่แม้ว่าหากพูดกันตามจริง พวกเด็กวัยรุ่นอาจจะไม่ค่อยสนใจก็ได้ แต่ถึงอย่างไรมันก็กลายเป็นการฉุดความรู้สึกทำลายความคาดหวังดีๆ กับพรรคการเมืองนี้ลงไปมาก อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากผลงานในสภาที่ถือว่า “งั้นๆ” ไม่ได้แหลมคมอะไรเลย

และแม้ว่าแกนนำบางคนในพรรคก้าวไกล เช่น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรค ที่บรรดา “ด้อมส้ม” ทั้งหลายเคยคลั่งไคล้ แต่หากพูดกันตามจริงแล้ว รับรองว่า บรรยากาศมันไม่เหมือนเก่าแน่นอน เมื่อกระแสของพรรคก้าวไกลลดลง มันก็ส่งผลให้มวลชนก็ลดลงด้วย ไม่ได้คึกคักเหมือนเมื่อก่อน แถมยังเชื่อมโยงไปถึงการเคลื่อนไหวทางการเมืองอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกันก่อนหน้านี้ หากสังเกตให้ดี ก็ลองพิจารณาจากกรณีเคลื่อนไหวล่าสุดในงานแข่งขัน “ฟุตบอลจตุรมิตร” ของ 4 โรงเรียนดัง มีความพยายามจุดกระแส “บังคับแปรอักษร” แต่กลายเป็นว่า ทุกอย่าง “แป้ก” จนแทบไม่มีใครสนใจเลย ตรงกันข้ามกลายเป็นถูกต่อต้าน “รุกกลับ” แรง เมื่อเทียบกับเมื่อคราวก่อน

และหากพิจารณาจากเนื้อหาในการ “แปรอักษร” ที่เน้นในเรื่อง “สถาบันพระมหากษัตริย์” และความสามัคคี ทั้งบรรดา “ศิษย์เก่า” และศิษย์ปัจจุบัน ทำให้พวก “สามนิ้ว” ฝ่อลงไปเลย แม้ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่ได้ผล ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น มันก็สะท้อนให้เห็นภาพที่ว่า เวลานี้กระแส “ลมเปลี่ยนทิศ” ไปแล้ว กระแสของ “เงื่อนไขเผด็จการ” ได้หมดไป บรรยากาศได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว !!


กำลังโหลดความคิดเห็น