"ศรีสุวรรณ” ร้อง กกต.เอาผิด “พท.-เศรษฐา” หาเสียงหลอกลวง แจกเงินดิจิทัลไม่ตรงปก หวั่นสร้างบรรทัดฐานพรรคการเมืองขายนโยบายระดมแจก แต่ทำไม่ได้จริง ชี้หลักฐานชัดแจ้วใช้งบฯ ปกติแต่กลับออก พ.ร.บ.กู้เงิน
วันนี้ ( 15 พ.ย.) นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติรักแผ่นดิน ยื่นคำร้องต่อ กกต.ขอให้ตรวจสอบโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต ว่าเข้าข่ายหลอกลวงหรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง ตามมาตรา 73 ( 5 ) ( 1 ) ประกอบมาตรา 159 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. 2561 ซึ่งมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ถึง 10 ปี ปรับตั้งแต่ 20,000 ถึง 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจถูกสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกำหนด 20 ปี หรือไม่ นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยและนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคในขณะนั้น พูดมาโดยตลอดว่าจะไม่มีการกู้เงินมาใช้กับโครงการนี้ แต่จะใช้การบริหารงบประมาณปกติ มีการทำหนังสือที่ลงนามโดยหัวหน้าพรรคเพื่อไทยชี้แจงมายัง กกต. ตามมาตรา 57 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ถึงที่มาของเงินที่จะใช้ ซึ่งถือเป็นพยานหลักฐานชัดเจนว่าพรรคเพื่อไทยยืนยันจะไม่ดำเนินการกู้เงินมาใช้กับโครงการนี้ แต่เมื่อได้เป็นรัฐบาลและนายเศรษฐา ในฐานะนายกรัฐมนตรีได้แถลงเมื่อเร็วๆนี้ ว่าจะดำเนินการกู้เงินโดยออกเป็น พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท จึงขัดแย้งกับสิ่งที่พรรคเพื่อไทยได้ชี้แจงมายัง กกต.ก่อนหน้านี้ ทางองค์กร จึงเห็นว่าเข้าข่ายเป็นการหลอกลวง จูงใจให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง มาลงคะแนนเสียงให้กับพรรคตนเองหรือไม่
" เรื่องนี้ท้าทายกับ กกต.อย่างมากว่า กกต.รับเรื่องนี้แล้วจะวินิจฉัยอย่างไร จะปัดตกเหมือนคำร้องก่อนหน้านี้ที่องค์กรฯ เคยร้องเรียนเรื่องนี้มาหลายครั้งหรือไม่ ถ้าปัดตกแล้วอ้างว่าสามารถทำได้ อนาคตพรรคการเมืองต่างๆ ก็จะอ้างนโยบายเกทับบลัฟแหลกกันมหาศาล อย่างพรรคเพื่อไทยบอกจะให้ 1 หมื่น พรรคอื่นก็อาจจะบอกว่าให้ 2 - 3 หมื่น หรืออาจบอกว่าจะแจกทองคำให้กับประชาชนทุกคนก็ได้ และเมื่อถึงเวลาปฎิบัติก็จะอ้างนั้นนี่ ซึ่งก็จะไม่เป็นไปตามที่ได้ชี้แจงไว้กับ กกต.ตามที่กฎหมายกำหนด” นายศรีสุวรรณ กล่าวและ ว่า กกต.ในฐานะคนที่ควบคุมดูแลจัดการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์เที่ยงธรรมต้องดำเนินการเรื่องนี้อย่างชัดเจน ต้องมีเหตุผลอธิบายต่อสังคมว่าเป็นเพราะอะไร แต่ถ้าวินิจฉัยว่าเป็นการฝ่าฝืนก็ต้องลงโทษพรรคเพื่อไทยและนายเศรษฐา
เมื่อถามว่า รัฐบาลระบุว่าจะมีการลดสัดส่วนคนที่ได้รับแจก และแนวทางการหาเงินมาใช้กับโครงงานนี้ใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ตนคิดว่าในข้อกฎหมาย พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มาตรา72 เขียนไว้ชัดอยู่แล้ว ว่าการหาเสียงคือ 1.จะต้องไม่ให้ เสนอให้ ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใด 2.ไม่ให้มูลนิธิ วัด สถาบันการศึกษา ซึ่งข้อห้าม เขาก็ได้เขียนไว้ชัดเจน คือ ห้ามจูงใจที่จะทำให้ความนิยมในพรรคการเมืองหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นการกระทำเช่นนี้ก็มีกฎหมายควบคุมอยู่ ในเมื่อพรรคการเมืองไม่ปฏิบัติตามที่ตนเองหาเสียงไว้ก็จะต้องมีความผิด โทษมีทั้งจำคุกและปรับ รวมถึงการตัดสิทธิ์ทางการเมือง
นายศรีสุวรรณ กล่าวด้วยว่า การยื่นร้องครั้งนี้แตกต่างจากครั้งที่ร้องก่อนเลือกตั้ง เพราะครั้งนั้นไม่มีเรื่องการออกพ.ร.บ.เงินกู้ เราร้องเพียงว่าการออกนโยบายแบบนี้ไม่น่าเป็นไปได้ และเมื่อเขาอ้างว่าเป็นการใช้เงินแผ่นดิน จึงไม่เข้าข่ายความผิดตามที่เคยร้อง แต่ครั้งนี้มาออกพ.ร.บ.กู้เงินทั้งที่เคยบอกว่าจะไม่กู้ ซึ่งก็เข้าข่ายหลอกลวง เป็นความผิดแล้ว และวันที่ 17 พ.ย.นี้ตนก็จะไปร้อง ป.ป.ช. เนื่องจากการพูดลักษณะดังกล่าว ถือเป็นการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อประชาชน อาจเข้าข่ายความผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง
