เมืองไทย 360 องศา
ยังไม่ทัน “แก้ตัว” หรืออธิบายนโยบายแจกเงินดิจิทัลหัวละหมื่นบาทให้สะเด็ดน้ำ ที่จากเดิมเคยยืนยันแบบหัวเด็ดตีนขาดว่า “ไม่กู้” แบบว่า “คิดใหญ่ ทำเป็น” หรือชอบทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ อะไรประมาณนี้ แต่กลายเป็นว่าในที่สุดก็ต้อง “กู้มาแจก” ซึ่งก็ถูกวิจารณ์ ถูกด่ากันขรมเลยทีเดียว เพราะมัน “ไม่ตรงปก” แถมยังไม่ตรงปกแบบไปไกลมาก และแม้ว่าจะแจกแล้ว แต่ก็ยังไม่ตรงใจชาวบ้าน เพราะชาวบ้านเขาอยากได้เป็นเงินสด หรือโอนเข้าบัญชี รวมไปถึงสามารถใช้จ่ายได้อย่างอิสระ แต่กลายเป็นว่ามี “เงื่อนไขยุบยับ” ไปหมด
นั่นเป็นเสียงวิจารณ์ต่อนโยบายแจกเงินดิจิทัลของ รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน และพรรคเพื่อไทย ที่เพิ่งแถลงเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยไม่เปิดโอกาสให้ซักถาม แต่ทิ้งช่วงไปพักหนึ่งระหว่างเดินทางไปประชุมเอเปก ที่สหรัฐอเมริกา แล้วค่อยเปิดปากพูดฝ่ายเดียว โดยอ้างว่าธนาคารแห่งประเทศไทยไฟเขียว ให้กู้เงิน จำนวน 5 แสนล้านบาท อะไรประมาณนั้น
อย่างไรก็ดี นั่นเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับนโยบาย “เรือธง” ของพรรคเพื่อไทย ที่โดนวิจารณ์ โดนคัดค้านจากหลายฝ่าย จากที่เคยคุยโม้ว่า “ไม่กู้สักบาท” หลายเป็นต้องกู้ถึง 5 แสนล้านบาท และยังมีเงื่อนไขหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการห้ามนำไปจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าพลังงาน จ่ายค่าเทอม หรือห้ามใช้หนี้ ให้ใช้ได้เฉพาะซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคเท่านั้น เรียกว่า “โดนไปเต็มๆ”
แต่หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ก็ต้อง “โดนหนักอีกดอก” นั่นคือ แนวความคิดจะให้ตำรวจจีน เข้ามาร่วมลาดตระเวนร่วมกับตำรวจไทย ตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญทั้งเมืองหลัก เมืองรอง ทั่วประเทศ อ้างว่า เพื่อให้ความอุ่นใจกับนักท่องเที่ยวจีนที่มาท่องเที่ยวในไทย เพราะพวกเขากลัวตำรวจจีน และยังเป็นการป้องกันในเรื่อง “ทุนจีนสีเทา” อีกด้วย โดยคนที่ให้ข้อมูลเรื่องนี้ โดยการให้สัมภาษณ์อย่างเป็นเรื่องเป็นราว ก็คือ น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
โดยเธอกล่าวภายหลัง ร่วมประชุมกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ก่อนนายกฯ เดินทางไปร่วมประชุมเอเปค ที่สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ว่า วันที่15 พฤศจิกายน จะเข้าหารือกับสถานทูตจีน ที่จะนำตำรวจจากประเทศจีน มาลาดตระเวนตามเมืองท่องเที่ยวในประเทศไทย ทั้งเมืองหลัก และเมืองรอง เหมือนกับที่เคยประสบความสำเร็จ ที่ประเทศอิตาลี
โดยเหตุผลความจำเป็นที่ต้องให้ตำรวจจีนเข้ามาประเทศไทยว่า เพราะเราต้องการให้ตำรวจจีนเห็นการทำงานของประเทศไทยว่า เรายกระดับเรื่องความปลอดภัยอย่างไรบ้าง ให้เขาเป็นกระบอกเสียงส่งต่อให้กับนักท่องเที่ยวจีน เพราะคนจีนกลัวตำรวจมาก ถ้าตำรวจของเขามา จะสร้างความมั่นใจให้กับเมืองไทย ก็จะช่วยยกระดับความมั่นใจให้นักท่องเที่ยวจีนอีกขั้นหนึ่ง
จากคำพูดดังกล่าวนี่เอง ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ตามมาอย่างหนักในทันที ในทำนองนี่เรายก “เอกราช” ให้กับจีนไปแล้วหรือ เรียกว่ามีแต่เสียงคัดค้านโจมตีดังมารอบทิศทาง แม้แต่ฝ่ายตำรวจ โดยพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็ไม่เห็นด้วย เพราะเป็นการละเมิดอธิปไตยของไทย
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ย้ำว่า ตำรวจไทยมีศักยภาพในการดูแลประชาชนและนักท่องเที่ยวเพียงพอ แต่กรณีที่เกิดขึ้นในอิตาลีนั้น เชื่อว่าเกิดจากปัญหาด้านการสื่อสารทางภาษา จึงมีการนำตำรวจจีนมาช่วย แต่สำหรับประเทศไทย ไม่ได้มีปัญหาดังกล่าว ยืนยันว่า แนวคิดดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะเป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศ
“แนวคิดดังกล่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ได้เป็นผู้เสนอ หรือร้องขอไปยังรัฐบาล เชื่อว่าเป็นความเข้าใจผิดในการสื่อสาร โดยยอมรับว่าก่อนหน้านี้ เคยมีการพูดคุยกันในประเด็นการจัดตั้งศูนย์ประสานงานกับทางการจีน เพราะเมื่อเกิดเหตุอาชญากรรม ที่เกี่ยวเนื่องกับจีน ก็จำเป็นที่จะต้องมีการประสานข้อมูลคนร้าย และข้อมูลคดีกัน และที่ผ่านมา มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการกำหนดผู้ประสานงาน ซึ่งมักจะเป็นตำรวจจีน ที่ดูแลสถานทูตจีนประจำประเทศไทย อาจทำให้เกิดความสับสนขึ้น” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระบุ
อย่างไรก็ดี นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ข่าวที่จะให้ตำรวจจีนมาตระเวนดูแลความปลอดภัย ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ความจริงเพียงแค่มาร่วมมือทำงาน และให้ข้อมูลเบาะแส เพื่อให้ตำรวจไทยทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ประเทศไทยเป็นเอกราช ทำไมต้องใช้ตำรวจจีนมาลาดตระเวน เรื่องที่มีลักษณะสร้างสรรค์เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติเช่นนี้ ทำไมต้องบิดเบือน และลากให้ไปโยงกับเรื่องของศักดิ์ศรีประเทศเช่นนั้น
“ขออย่าได้เล่นเกมวาทกรรมทางการเมืองกันจนเกินกว่าเหตุเช่นนี้เลย เรามามุ่งสมาธิให้กับการทำงานรับใช้ประเทศชาติ และประชาชนกันดีกว่าไหม” โฆษกรัฐบาล กล่าว
เอาเป็นว่าเรื่องหลังคือ แนวคิดเรื่องตำรวจจีนมาร่วมลาดตระเวนกับตำรวจไทยในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญนั้นถือว่าต้องพับไปในเวลาอันรวดเร็ว หรือเอาเป็นว่า “เข้าใจผิด” หรือมีความพยายามบิดเบือนมาโจมตีรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน ก็แล้วกัน แต่คำถามก็คือมันเกิดเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร เพราะการให้สัมภาษณ์ของ ผู้ว่าการท่องเที่ยวฯ มีขึ้นหลังการเข้าหารือกับ นายกรัฐมนตรี ก่อนที่เขาจะเดินทางไปร่วมประชุมเอเปค ที่สหรัฐฯเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น และการให้สัมภาษณ์ดังกล่าว ยังมีผู้บัญชาการสอบสวนกลาง ยืนเป็นแบ็กกราวด์ อีกด้วย เพราะมีรายงานข่าวว่าในการประชุมคราวนั้น ยังมีการพูดถึงเรื่องตัวเลขนักท่องเที่ยวจีน ที่ยัง“หลุดเป้า”ไปมาก ทั้งที่มีการเปิดฟรีวีซ่า และมีแรงจูงใจไปมากแล้ว
หากให้สรุปกันแบบเร็วๆ มันก็อาจเป็นไปได้เหมือนกันว่า นี่คือผลจากการ “ปากไว ใจเร็ว” ของนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน อีกหรือเปล่า แต่การพูดในฐานะนายกรัฐมนตรี มันส่งผลกระทบตามมามากมาย เหมือนกับกรณีนโยบาย “แจกเงินดิจิทัล” ที่เคยย้ำอยู่ตลอดเวลาว่า “ไม่กู้” หรือคิดรอบคอบแล้ว รัฐบาลนี้ “หาเงินได้ ใช้เงินเป็น” แต่ผลออกมาตรงกันข้าม รวมไปถึงเรื่องแนวคิดจะดึง “ตำรวจจีน” เข้ามาร่วมลาดตระเวนในไทย มันก็ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความไม่มั่นใจ เหมือนกับ “เร่งขาลง” ให้เร็วขึ้นกว่าเดิมไปอีก
เพราะแต่ละเรื่องถือว่า หนักๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าเรื่องหลังคือ “ตำรวจจีน” จะยืนยันไปแล้วว่า ไม่มี เป็นการสื่อสารผิดพลาด หรือโบ้ยกลับไปว่า มีเจตนาบิดเบือน แต่ขณะเดียวกันมันก็สะท้อนให้เห็นว่า ความคิดหรือนโยบายแต่ละอย่างที่จะออกมาจะต้องมีความรอบคอบ มีการกำหนดตัวบุคคลที่จะชี้แจง หรือแถลง เพราะหากเกิดผลกระทบขึ้นมา แล้วมาตามแก้หรือออกมาปฏิเสธบ่อยครั้ง มันก็ยิ่งเสียเครดิต โดยเฉพาะผู้นำรัฐบาลที่มัก “ปากไว” อยู่เสมอ !!