xs
xsm
sm
md
lg

“รอมฎอน” ชี้รัฐบาลดูมัวหมอง หลังนายกฯ ประกาศไม่ยุบ กอ.รมน.แนะควรเปิดพื้นที่ให้ถกเถียงกันในสภา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“รอมฎอน” เชื่อรัฐบาลจะดูมัวหมอง หลังนายกรัฐมนตรียันไม่ยุบ กอ.รมน. ชี้ ควรเปิดพื้นที่ให้สภาถกเถียงกัน ย้ำจุดยืนกองทัพต้องอยู่ห่างการเมือง มองบทบาท กอ.รมน. พยายามจัดวางให้ผู้คิดต่างเป็นศัตรูคู่อาฆาต ด้าน “เชตวัน” ผิดหวัง ความเห็น “นายกฯ-สุทิน” สื่อถึงการขยายบทบาทกองทัพมายุ่มยามงานสาธารณะ ท้วง รมต.กลาโหมยังเคยยอมรับเองกองทัพมี IO



1 พ.ย.2566 ที่รัฐสภา นายรอมฎอน ปันจอร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล พร้อมด้วยนายเชตวัน เตือประโคน สส.ปทุมธานี พรรคก้าวไกล แถลงข่าวประเด็นการเสนอกฎหมายยุบกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และท่าทีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในเรื่องนี้

โดยนายรอมฎอน กล่าวว่า ในนามพรรคก้าวไกล ตนเป็นตัวแทนยื่นร่างกฎหมายยุบ กอ.รมน.นี้ เรียกว่าเป็นกฎหมายชุดแรกของพรรคก้าวไกลที่มีการยื่นต่อสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 18 ก.ค. โดย พ.ร.บ. การยกเลิก กอ.รมน. เป็น 1 ใน 5 ร่างกฎหมายเปลี่ยนประเทศ หัวใจสำคัญก็คือการพยายามเสนอให้มีการปฏิรูปกองทัพและระบบความมั่นคงในประเทศ เราต้องการสร้างหลักการประชาธิปไตยที่รัฐบาลพลเรือนเป็นใหญ่และพยายามในการทำให้กองทัพอยู่ห่างจากการเมืองมากที่สุด การยุบ กอ.รมน. มีเหตุจำเป็นหลายประการ หนึ่งในนั้นคือการพยายามทำให้ความมั่นคงเป็นเรื่องของประชาชน เป็นเรื่องของพลเรือนไม่ใช่ผูกขาดอยู่แค่กองทัพ ซึ่งหลักการพลเรือนเป็นใหญ่ ควรเป็นกฎหมายสำคัญในระบอบประชาธิปไตย

นายรอมฎอน กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา ยังมีการพูดถึงเรื่องการบริหารราชการโปร่งใส ซึ่ง กอ.รมน. มีข้อถูกเถียงถึงการใช้งบประมาณที่เกินจริง ไม่โปร่งใส มีบัญชีผี ข้อสงสัยเหล่านี้ถูกสงสัยมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ยังไม่รวมถึงกรณีของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

“ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ทิศทางการแก้ไขปัญหาในภาคใต้ การขยายความขัดแย้งที่นำโดยทหาร มันเลยจำกัดโอกาสและทางเลือกในการแสวงหาจุดบรรจบที่ลงตัวระหว่างรัฐและประชาชน” นายรอมฎอน กล่าว

นายรอมฎอน ยังมองว่า กอ.รมน. เป็นสมบัติตกทอดจากสงครามเย็น มองประชาชนเป็นภัยคุกคาม พรรคก้าวไกลได้มีการติดตามตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานความมั่นคงมาโดยตลอด ซึ่ง กอ.รมน. ก็เป็นหน่วยงานที่ถูกจับตาอย่างหนัก ทั้งเรื่องงาน ข่าวสาร เราพบว่าการพยายามด้วยค่ามลทิน ส่งผลให้คนไม่เชื่อมั่นต่ออำนาจรัฐ ส่งผลไปถึงการเมืองที่พยายามโน้มน้าว จัดสรรผลประโยชน์ มีการสร้างจุดมุ่งหมายต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมุมมองที่เกี่ยวข้องกับด้านความมั่นคงจะถูกผูกขาดโดย กอ.รมน. และพยายามจัดวางให้ผู้คิดต่างเป็นศัตรูคู่อาฆาต

“มีคนกล่าวหาโจมตีผมเป็นผู้แบ่งแยกดินแดนด้วยซ้ำ ถ้าเรื่องนี้เราปล่อยให้หน่วยงานที่มีกรอบคิดแบบนี้ทำงานอยู่ เราก็จะตัดโอกาสของสังคมไทยในการแสวงหาทางออกจากความขัดแย้ง เราอาจจะต้องมองความขัดแย้งเป็นโอกาสที่เราจะสามารถใช้ปัญญาในการถกเถียงกัน” นายรอมฎอน กล่าว


นายรอมฎอน ระบุว่า กอ.รมน.ควรทำหน้าที่ของรั้ว ไม่ใช่เอารั้วมาอยู่ในห้องนั่งเล่น ในห้องนอนของพลเรือน หลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้มีท่าทีออกมาไม่เห็นด้วยกับการยุบ กอ.รมน. ปัจจุบันนี้ตัวร่างกฎหมายฉบับนี้ถูกวินิจฉัยตีความโดยประธานรัฐสภาว่าเป็นร่างว่าด้วยเกี่ยวกับการเงิน ตามมาตรา 133 ของรัฐธรรมนูญ ต้องให้นายกรัฐมนตรีให้คำรับรอง เหตุผลเบื้องหลังมาตรานี้ทำให้ฝ่ายบริหารได้มีเสียงในการที่จะพิจารณา มองว่านายกรัฐมนตรีควรเปิดโอกาสให้กลไกรัฐสภาที่ได้รับการรับรองจากรัฐธรรมนูญได้มีการถกเถียง

“ผมเข้าใจว่าประเด็นนี้แม้กระทั่งในพรรคร่วมรัฐบาลเองก็อาจจะเห็นต่าง นายอดิศร เพียงเกษ ประธานวิปรัฐบาล ก็ทวิตที่จุดยืนที่แตกต่างจากนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สส.ที่ชนะการเลือกตั้งใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่ผมเห็นว่าได้รับเสียงตอบรับเยอะมาก เพราะฉะนั้นผมอาจจะเชื่อว่าเพื่อนสมาชิก สส.ที่มาจากจังหวัดภาคใต้ อาจจะมีท่าทีที่เห็นต่างออกไปจากนายกรัฐมนตรี อาจจะต้องฟังเหตุผลของเขา นี่คือเหตุผลที่อยากจะเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีให้คำรับรองต่อร่างกฏหมายฉบับนี้ และเปิดทางให้สภาผู้แทนราษฎรได้มีการพิจารณาต่อไปว่าเรื่องนี้ได้ ซึ่งการไม่เปิดโอกาส อาจทำให้ภาพลักษณ์รัฐบาลพลเรือนที่มีอำนาจเหนือกว่ากองทัพดูมัวหมองไป” นายรอมฎอน กล่าว

นายรอมฎอน ยังยกตัวอย่าง เว็บไซต์ของสภาผู้แทนราษฎรที่มีการสำรวจความเห็นเรื่องนี้ในโลกออนไลน์ หลายคนไม่เห็นด้วย ดังนั้น นายกรัฐมนตรีไม่ควรกังวล ตนอยากจะเสนอแนะ 2 ข้อคือ ทางแรกคือการยกเรื่องนี้ไปพูดคุยกันใน คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ สภาผู้แทนราษฎร อีกทั้งเป็นการพูดถึงบทบาทของภาคประชาชนในการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย

ขณะที่นายเชตวัน กล่าวด้วยความผิดหวังว่า จากการที่รับฟังคำสัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรี และนายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มองว่า จะเป็นการขยายบทบาทของกองทัพในการยุ่มย่ามกับงานสาธารณะ ทั้งที่นายสุทินเคยออกมายอมรับว่ากองทัพมีการใช้ io ดังนั้น หากมองว่าเพื่อนร่วมชาติเป็นข้าศึก เป็นคอมมิวนิสต์ แต่รอบนี้ไม่มีคอมมิวนิสต์แล้ว เรากลับมีข้อกล่าวหาเรื่องชังชาติหรือล้มสถาบัน


กำลังโหลดความคิดเห็น