xs
xsm
sm
md
lg

ทีมงาน "วันนอร์" แถลงหลังพบฮามาส ยันปล่อยตัวประกันแน่ แต่ยังไม่ระบุวันเกรงถูกโจมตี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



คณะที่ปรึกษา "วันนอร์" พบกลุ่มฮามาส ยืนยันปล่อยตัวประกันแน่ แต่ไม่ระบุวัน เกรงอาจถูกโจมตี ขอให้มั่นใจคนไทย ปลอดภัย เชื่อกลุ่มฮามาสไม่โกหก วอนสังคมพิจารณาข้อมูลรอบด้าน



วันที่ 1 พ.ย.2566 ที่รัฐสภา นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย นายมุข สุไลมาน เลขานุการประธานสภาฯ แถลงข่าว เกี่ยวกับการเจรจาช่วยเหลือตัวประกันคนไทย จากสถานการณ์ความไม่สงบในอิสราเอล

โดยนายอารีเพ็ญ กล่าวว่า ตนเองในฐานะเป็นที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร และคณะได้เดินทางไปพบตัวแทนที่ประเทศอิหร่าน วันที่ 26 ตุลาคม 2566 โดยได้พบกับแกนนำของกลุ่มฮามาส และตัวแทนจากอิหร่าน แต่ไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ ซึ่งใช้เวลาพูดคุย 2 ชั่วโมง โดยกลุ่มฮามาส เข้าใจว่าการมาครั้งนี้มาในนาม ประธานรัฐสภาของประเทศไทย และความรู้สึกของมุสลิมด้วยกันเพื่อขอให้ปล่อยตัวคนไทย เนื่องจากไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง กลับสงครามครั้งนี้ ซึ่งกลุ่มฮามาสได้บอกว่าตัวประกันได้รับการดูแลเป็นอย่างดีไม่เดือดร้อน แต่ไม่สามารถกำหนดวัน-เวลาที่จะปล่อยตัวได้ เนื่องจากอาจเกิดเหตุอันตราย จากการโจมตีของอิสราเอลขึ้นได้ โดยกลุ่มฮามาสหวัง อยากให้ตัวประกันเหล่านี้บอกกับสังคมโลก ว่าอยู่กับฮามาสโหดร้ายจริงหรือไม่ จึงพยายามเพื่อให้คนไทยอยู่อย่างปลอดภัยและกลับไปอยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข

ทั้งนี้ ได้มอบรายชื่อให้คนไทยที่ถูกจับไปเป็นตัวประกันแล้วทั้ง 22 คน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอการยืนยันกับทางการอิหร่านว่ารายชื่อตรงกันหรือไม่


จากนั้นเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2566 ได้เข้าพบกับ อยาตุเลาะ อัดตารี ที่ปรึกษาประธานาธิบดีและ ประธานสมัชชาองค์กรปาเลสไตน์ แห่งสำนักประธานาธิบดีอิหร่าน , ดร.ระมีฮียาน เลขาธิการใหญ่องค์การช่วยเหลือประชาชาติปาเลสไตน์แห่งชาติ , ดร.รูวัยรอน ประธานสมาพันธ์ พิทักษ์เยาวชนปาเลสไตน์ และต่อต้านอิสราเอลแห่งชาติ ใช้เวลาพูดคุย 3 ชั่วโมง ซึ่งได้มีการรับปากว่าจะให้ความช่วยเหลือเพราะประเทศไทยมีคุณอนันต์ต่อมุสลิมทั่วโลกที่อยู่ประเทศไทย และประเทศอิหร่านก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศไทย

นอกจากนี้ ทราบว่า มีการรายงานเรื่องดังกล่าวต่อประธานาธิบดีอิหร่าน จากนั้นได้มีหนังสือไปยัง บุคคลสำคัญของอิหร่าน 4 คน พร้อมกับประสานไปยังรัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านและได้เข้าพบกับหัวหน้าของกลุ่มฮามาส แต่ยังไม่ทรสบรายละเอียดของการพูดคุย

นายอารีเพ็ญกล่าวว่า อยากให้คนไทยเข้าใจว่าปาเลสไตน์ ต่อสู้มายาวนาน และคนทั่วโลกไม่ให้ความสนใจ พร้อมยอมรับว่าไม่ได้มีการพูดคุยกับคนไทยที่ถูกจับเป็นตัวประกันเนื่องจาก คลื่นโทรศัพท์หากมีการใช้ก็จะมีการยิงระเบิดเข้าทันที ซึ่งทางกลุ่มฮามาสได้เชิญเราให้เข้าไปพบตัวประกันแต่เราไม่เข้าไปเพราะเกรงว่าจะเกิดอันตราย ส่วนกรอบเวลาที่จะปล่อยตัวคาดว่าจะเร็วที่สุด เพราะความปลอดภัยของภาวะสงคราม ถ้าบอกว่าจะปล่อยเมื่อไหร่ ระเบิดจะลงทันที และอาจทำให้สังคมโลกมองว่ากลุ่มฮามาสทำร้ายตัวประกัน แต่ตนคิดว่าการปล่อยตัวประกันคงไม่นานเกินรอ ซึ่งคณะประสานงานของประธานรัฐสภาก็ได้มี ประจำการอยู่ที่ประเทศอิหร่านเพื่อคอยประสานงานหากมีการปล่อยตัวคนไทยออกมา ประธานรัฐสภาก็จะเดินทางมารับด้วยตนเอง ซึ่งถ้าหากปล่อยตัวที่ประเทศอิหร่านก็จะเป็นการสะดวก


พร้อมย้ำว่า การทำหน้าที่ในครั้งนี้ไม่ได้ข้ามหน้าข้ามตาใคร แต่เป็นการช่วยเหลือตามศักยภาพ ซึ่งการเดินทางไปประเทศอิหร่านนั้น เพราะประเทศอิหร่านเป็นผู้มีอิทธิพลต่อกระบวนการฮามาส และเป็นแหล่งสำคัญที่สนับสนุนกลุ่มฮามาสเมื่อคนที่มีบุญคุณใหญ่หลวงขออะไรไปเขาก็น่าจะไม่ปฏิเสธ

“ผมมีความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เข้าพูดคือความจริง เราเป็นกลุ่มแรกที่ไปพูดคุยกับกลุ่มฮามาสอย่างเป็นทางการ ถ้าหากคนไทยได้ปล่อยตัวก็เป็นผลงานของคนไทยทั้งหมดไม่ใช่ผลงานของคนใดคนหนึ่ง เราจะไม่ก้าวก่ายรัฐบาลในการทำหน้าที่ เราทำหน้าที่ในตัวแทนประธานรัฐสภาเท่านั้น ที่เข้าไปพูดคุยโดยตรง" นายอารีเพ็ญ กล่าว


ขณะที่นายมุข กล่าวว่า เราต้องให้เกียรติ กลุ่มฮามาสว่าพูดความจริง เพราะถ้าจะมาพูดอย่างทำอย่างก็ไม่จำเป็นจะต้องให้เข้าพบตั้งแต่แรก ดังนั้นการให้เข้าพบก็แสดงว่ายินดี รับและพร้อมที่จะพูดความจริง นั่นคือตัวประกันคนไทยอยู่ในความปลอดภัยดีแล้ว เราก็ต้องเชื่อในศักดิ์ศรี ขอความเป็นมนุษย์ และ นับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ ที่ต้องยึดมั่นในศาสนาจึงจะไม่พูดโกหก พร้อมฝากสื่อและประชาชนเพราะมีการพูดโจมตีฮามาส ปาเลสไตน์ และอิหร่านจึงอยากให้ฟังหลายฝ่ายเพื่อวิเคราะห์ความเป็นจริงว่าเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตามคงไม่สามารถยืนยันได้ 1,000 % หรือ10,000 เปอร์เซ็นต์

แต่ตนเชื่อว่า เมื่อวันที่คนไทยกลับมาปลอดภัยทั้งหมดคือคำตอบ และให้สังคมพิจารณาว่า คณะพูดคุยเดินทางถูกต้องแล้วหรือไม่ แต่ถ้าท้ายที่สุดคนไทยไม่ถูกปล่อยตัว ก็จะได้รู้ว่าที่ทำมาไร้ผลและไม่ถูกต้อง ขณะที่นายก รัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็ได้ดำเนินการอีกทางหนึ่งแต่ไม่ว่าจะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ไม่สำคัญท้ายที่สุดคือการนำคนไทยกลับมาเท่านั้นเอง


กำลังโหลดความคิดเห็น