เมืองไทย 360 องศา
แม้ว่าการเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ของ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จะได้รับการจับตามอง และมีความเห็นออกมาหลากหลาย แต่เชื่อหรือไม่ว่า อารมณ์ที่ออกมาประมาณว่า “เฉยๆ” ไม่ได้ตื่นเต้น หรือกลายเป็น “กระแส” อะไรมากนัก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่า รับรู้กันมาตั้งนานแล้ว อีกทั้งเข้าใจกันดีว่า การจะนั่งเก้าอี้ตัวไหน ก็ไม่ได้ต่างกัน และสำคัญทุกตำแหน่งอยู่แล้ว เพราะความหมายก็คือ เธอเป็น “ลูกเถ้าแก่” หรือ “ลูกเจ้าของพรรค” นั่นคือ เป็นลูกของนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถือว่ามีอิทธิพลสูงสุดมานานแล้ว ในวงการเมืองย่อมรู้กันดี ไม่ต้องอธิบายกันมาก
อารมณ์ของสังคมจึงออกมาในแบบ เฉยๆ ไม่แปลกใจดังกล่าว แต่สิ่งที่ต้องพิจารณากันต่อก็คือ ตกลงแล้วน.ส.แพทองธาร ชินวัตร เธอกำลังจะเป็น “ตัวแทนคนรุ่นใหม่” พลิกโฉมพรรคเพื่อไทย เพื่อต่อสู้แข่งขันกับอีกขั้วหนึ่งคือ “พรรคก้าวไกล” นับจากนี้ไปหรือไม่ คำตอบก็คือ ยังมองไม่ออก แต่หากเป็น “หัวหน้าพรรคอายุน้อย” เพื่อสู้กับอีกฝ่ายนั้น ก็น่าจะใช่
เพราะหากพิจารณาจากการ “ไต่เต้า” ทางการเมืองทั้งในพรรคและนอกพรรค มาจนกระทั่งก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ มันไม่ได้ถูกมองว่ามาจากความสามารถ หรือมี “จุดเด่นส่วนตัว” อะไร และหากมีจุดเด่นที่ว่าก็คือ เธอเป็นลูกสาวของนายทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น อีกทั้งบรรดาคอการเมืองก็มองออกว่า เธอก็เป็นแค่ “หุ่นเชิด” เหมือนกับหัวหน้าพรรคที่ผ่านมา เพียงแต่ว่า พิเศษตรงที่ว่าเป็น “สายตรง” ไว้ใจได้ที่สุด เท่านั้นเอง
อย่างไรก็ดี คนที่มองเกมในพรรคเพื่อไทย และ“เกมของทักษิณ”ได้ตรงใช้ได้ ก็น่าจะเป็นนายจุตพร พรหมพันธุ์ เพราะเคยใกล้ชิดและสัมผัสกับคนพวกนี้มานานแบบ “รู้ไส้รูพุง” กันดี
นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ โดยเชื่อว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวทักษิณ ชินวัตร ถูกเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย คงไม่อาจทำให้พรรคเปลี่ยนแปลงได้มากนัก เพียงแต่ปรับภาพลักษณ์พรรคใหม่ โดยเอาคนอายุน้อยมาสู้กับพรรคคนอายุน้อยเท่านั้น
นายจตุพร กล่าวว่า การเมืองเป็นภาพมายา ตั้งแต่มีพรรคเพื่อไทยมา หัวหน้าพรรคมีคนเดียวเท่านั้น ที่เหลือเป็นหัวหน้าพรรคสมมุติกันหมด แต่การเลือก “อุ๊งอิ๊ง” ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคครั้งนี้ เป็นเพียงหัวหน้าพรรคสมมุติเหมือนตัวจริงเพื่อมาพลิกเกมใหม่จากได้เป็นรัฐบาล แต่เสียงเลือกตั้งกลับตกต่ำมากที่สุด
“พรรคเพื่อไทยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แม้อุ๊งอิ๊งเป็นหรือไม่เป็นหัวหน้าพรรคก็เท่าเดิม เพียงต้องการเอาอายุน้อยไปสู้อายุน้อย แต่สถานการณ์ขณะนี้ พรรคเพื่อไทยเผชิญกับความบอบช้ำทางการเมือง ทั้งคำพูดและการกระทำทั้งหมด จะถูกต่างพรรคนำไปใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้า”
นอกจากนี้ นายจตุพร เห็นว่า อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะเป็นคนที่น่าเห็นใจที่สุด โดยจะเจอแรงกดดันทุกทิศทาง เพราะไม่มีองคาพยพทางการเมืองเป็นของตัวเอง และภายในพรรค ยังมีแต่มายาภาพแสดงความน่าเชื่อถือ เมื่อ อุ๊งอิ๊ง เป็นหัวหน้าพรรค ยิ่งทำให้มายาภาพคนในพรรคกระทำต่อนายกฯ ค่อยๆ เลือนลางไป
“อุ๊งอิ๊งได้เป็นหัวหน้าวันนี้ ไม่เห็นมีอะไรแตกต่างไปจากเดิม ซึ่งที่ผ่านมา การเดินงานการเมืองจึงเป็นเพียงกลยุทธ์ และต้องการหลีกเลี่ยงกฎหมายเลือกตั้ง ที่ควบคุมแต่กรรมการบริหารพรรค อีกอย่างการไปเป็นประธานยุทธศาสตร์ต่างๆ หรือเป็นแคนดิเดตนายกฯ เพื่อหลีกหนีกรณียุบพรรค และกรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิทางการเมือง แต่วันนี้เดินมาถึงจุดที่ต้องออกหน้าเอง”
นั่นเป็นความเห็นของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่น่าจะตรงใจกับคนที่ติดตามการเมืองมานาน ที่มองเห็นว่าไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างในพรรคเพื่อไทย ก็ยังเหมือนเดิม เพียงแต่ว่า “เอาคนอายุน้อย” มาเป็นหัวหน้าพรรค มาเป็นเลขาธิการพรรค รวมไปถึงคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ขณะที่คนที่เป็น “หัวหน้าพรรคตัวจริง” ก็ยังเป็นนายทักษิณ ชินวัตร เช่นเดิม เหมือนกับช่วงยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ตั้งแต่พรรคไทยรักไทยเรื่อยมาจนปัจจุบัน
แน่นอนว่าการมารับหน้าที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยของ น.ส.แพทองธาร เพื่อต้องการมาสู้กับพรรคก้าวไกล โดยตรง ส่วนจะสู้ได้มากแค่ไหนก็ยังเป็นคำถาม เพราะเมื่อครั้งเลือกตั้งที่ผ่านมาเธอก็ได้นำทัพในฐานะหัวหน้าครอบครัวรณรงค์กันอย่างเต็มที่มาแล้ว แต่ก็พ่ายแพ้แบบหมดรูป
คราวนี้อาจจะมีความแตกต่างจากครั้งก่อนที่ว่า มีพ่อ คือนายทักษิณ ชินวัตร เข้ามา “ชักใย” อย่างเต็มตัว เพราะคราวนี้เหมือนกับว่า “เดิมพันหมดหน้าตัก” จริงๆ อาจเป็นเพราะถึงเวลาต้องเสี่ยงครั้งสุดท้าย ด้วยอายุที่มาก และกำลังอยู่ในช่วง “ดิ้นรน” หลังจากมีคู่แข่งที่เป็นเด็กรุ่นใหม่ จากพรรคก้าวไกล ทำให้เขารู้สึกได้ว่าต้องเจอ “ศึกหนัก” กว่าทุกครั้ง ขณะเดียวกัน ผลกระทบจากการ “ข้ามขั้ว” ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างหนัก แม้ว่าจะพลิกกลับมากุมอำนาจรัฐได้เป็นรัฐบาลอีกครั้ง
แต่ในฐานการเมืองมันทำให้เกิดความเสียหาย และยากที่จะเรียกคืนมาได้ง่ายๆ แต่อีกด้านหนึ่งหากพิจารณากันแบบเข้าใจสำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร เขาก็ต้องเสี่ยง ต้องทำแบบนี้ ต้องดันลูกสาวตัวเองขึ้นมานำ เนื่องจากเป็นตัวเลือกสำหรับเขาที่ดีที่สุด และคิดว่าพอจะเป็นตัวแทน สร้างจุดขายได้ นอกเหนือจากนี้ยังมีเจตนาสร้างภาพลักษณ์ “คนรุ่นใหม่” เข้ามาแข่งขันกับฝ่ายตรงข้าม
อย่างไรก็ดี ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป การรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับ นายทักษิณ ที่มีมาหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอดีตคนเสื้อแดง ได้เห็นภาพของบรรดาอดีตลูกน้องเก่าที่ต้องติดคุกจากคดีทุจริต การเปิดโปงเรื่องการ “ลอยแพเอาตัวรอด” ทอดทิ้งคนเสื้อแดง จนติดคุก สิ้นเนื้อประดาตัว สารพัด
หรือแม้แต่ภาพลักษณ์ของรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน หลายคนได้เห็นชัดอยู่แล้วว่า ตำแหน่งรัฐมนตรี รวมถึงตำแหน่งสำคัญล้วนเป็นคนใกล้ชิดของ นายทักษิณ ชินวัตร และคนในครอบครัวชินวัตรแทบทั้งสิ้น จนทำให้มองกันว่า นายเศรษฐา ไม่ใช่นายกฯที่มีอำนาจเต็ม เพราะแม้แต่ตัวเขาก็ยังหลุดปากออกมาเองว่าตอนนี้มี “นายกฯคู่” ความหมาย ก็คือมีนายกฯชื่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อีกคนหนึ่ง และภาพที่เขาแสดงความนอบน้อมต่อหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ จนถูกวิจารณ์ไปทั่ว มันก็ยิ่งตอกย้ำให้เห็นภาพชัดเจน
ดังนั้น หากพิจารณากันแบบตรงไปตรงมา สำหรับการขึ้นมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยของ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ก็ไม่สร้างความตื่นเต้น หรือเป็นกระแสมากมายนัก เพราะรับรู้กันมานาน และไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งไหนก็ไม่ได้ต่างกัน ถึงได้บอกว่าแค่ “หัวหน้าพรรคอายุน้อย” เท่านั้นเอง แต่ขณะเดียวกันกับสำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร แล้วเขาจำเป็นต้องทุ่มสุดตัว จำเป็นต้องเสี่ยง เพราะไม่มีตัวเลือกอื่นแล้ว แต่ด้วยสถานการณ์ที่ไม่เหมือนเดิม มันก็ไม่มีทางเหมือนเดิมแน่นอน !!