วันนี้(23 ต.ค.)นาย สามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงความเคลื่อนไหวล่าสุดเกี่ยวกับโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ ที่ล่าสุด นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีการชะลอโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำและมีคำสั่งเปลี่ยนไปเป็นการจัดซื้อเรือฟริเกตกับประเทศจีนแทนนั้น นายสามารถ กล่าวว่า ในรัฐบาลชุดที่แล้ว นายสุทินได้เคยอภิปรายไม่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว เคยใช้วาทะกรรมว่า จนทำให้ข้อมูลบิดเบือนว่าเป็น เรือดำน้ำไม่มีเครื่องยนต์ ขณะที่ข้อเท็จจริงเกิดภาวะสงครามการสู้รบระหว่างยูเครน-รัสเซีย ทำให้จีนไม่สามารถจัดหาเครื่องยนต์เยอรมันได้ตามข้อตกลง จึงมีการพูดคุยเรื่องการเปลี่ยนเครื่องยนต์ไปเป็นของประเทศจีนแทน แต่พอมาวันนี้ นายสุทิน มีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกลาโหม กลัวกลืนน้ำลายตัวเองในสิ่งที่เคยอภิปรายไป เลยต้องเปลี่ยนโครงการไปเป็นการจัดซื้อเรือฟรีเกทแทน
นายสามารถ กล่าวย้ำถึงความจำเป็นของการมีเรือดำน้ำ เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านอย่าง พม่า มาเลเซีย และ สิงค์โปร ได้รุกร้ำนำเรือดำน้ำเข้ามาสำรวจทรัพยกรทางทะเลในประเทศไทยแล้ว ดังนั้นเรือฟรีเกท ซึ่งเป็นเรือผิวน้ำจึงไม่มีความจำเป็น เรามีทรัพยกรธรรมชาติใต้ทะเลมีค่าอันมหาศาล จึงต้องมีเรือดำน้ำไว้สำหรับการหวงแหน และปกป้องอำนาจอธิปไตยไว้ให้กับลูกหลาน
“นี่แหระประเทศไทยถึงไม่เจริญ นโยบายไหนของรัฐบาลที่แล้วทำดี ไม่กล้าทำต่อ กลัวไปเป็นผลงานของรัฐบาลนั้น ก็สั่งเปลี่ยนโครงการเป็นเรือฟรีเกตแทน แต่พอท่านเป็นฝ่ายค้านใส่วาทะกรรมจนเข้าใจว่าเรือ ดำน้ำ ไม่มีเครื่องยนต์ ชาวบ้านเลยเข้าใจแบบนั้น ทั้งๆที่ตอนซื้อมันยังไม่เกิดสงคราม ดังนั้นวันนี้ ถ้าท่านเอาเรือมา ก็เท่ากับกลืนน้ำลายตัวเอง ท่านเลยบอกไม่เอา แต่จะเอาเรือฟรีเกท แทน” นายสามารถกล่าว
นายสามารถ กล่าวด้วยว่า ในสมัยรัฐบาลชุดที่แล้ว ได้เห็นถึงความสำคัญเรื่องทรัพยากรทางทะเล จึงต้องมีการจัดซื้อเรือดำน้ำเพื่อความมั่นคงของประเทศ หากไม่สามารถจัดซื้อเรือดำน้ำเครื่องยนต์เยอรมันได้ ก็ถือว่ามีการทำผิดสัญญาไม่สามารถจัดซื้อเรือได้ตามที่ตกลงไว้ รัฐบาลชุดนี้โดยรัฐมนตรีกลาโหม จึงควรนำงบประมาณเหล่านั้นมาสร้าง“แลนด์บริดจ์” หรือ โครงการเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างทะเลอ่าวไทยกับทะเลอันดามัน หรือเปลี่ยนไปเป็นการก่อสร้างสนามบิน หรือนำมากระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศดีกว่า เปลี่ยนโครงการเป็นการจัดซื้อเรือฟรีเกตด้วยซ้ำ