“นลินี ทวีสิน” เตรียมผลักดัน Soft power ผ้าไหมไทย เชื่อมสัมพันธ์การค้า ท่องเที่ยว วัฒนธรรม สู่ตลาดโลก
นางนลินี ทวีสิน ผู้แทนการค้าไทย เปิดเผยว่า ตนได้หารือกับ นายกิตติ ประทีปนาฏศิริ ผู้อำนวยการโครงการ Thai Silk Road to the World พร้อมกับคณะทูตและผู้แทนสถานกงสุล 13 ประเทศ เพื่อร่วมกันผลักดันผ้าไหมไทยให้เป็นที่รู้จักในตลาดโลก ถือเป็นการใช้ Soft power ส่งเสริมเศรษฐกิจไทย โดยเตรียมจัดงานมหกรรมผ้าไหมไทยสู่เส้นทางโลก การเดินแฟชั่นผ้าไหมระดับโลก การประกวดชุดผ้าไหมและลายผ้าไหมร่วมสมัยทั้งในประเทศและนานาชาติในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งทางคณะผู้จัดงานจะเข้าพบ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พณ. เพื่อพูดคุยถึงแนวทางการสนับสนุนของรัฐบาล ร่วมกับสมาคมส่งเสริมผ้าไหมและวัฒนธรรมไทย คณะทูตต่างประเทศ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนอีกหลายแห่ง
ขณะนี้ผ้าไหมไทยเริ่มเป็นที่รู้จักในตลาดโลก ทั้งในกลุ่มดีไซเนอร์ชั้นนำและประชาชนทั่วไป เราจะใช้ “การทูตผ้าไหมไทย” เป็นตัวเชื่อมการค้า การท่องเที่ยว วัฒนธรรมและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เอกอัครราชทูตหลายประเทศนิยมสวมใส่ชุดผ้าไหมไทยที่มีการออกแบบและถักทอที่เป็นเอกลักษณ์ และต้องการให้ช่างทอผ้าของประเทศตนกับไทยร่วมผสมผสานเส้นใยหรือวัตถุดิบระหว่างกันเพื่อสร้างมิติใหม่ของผืนผ้า ที่น่าสนใจคือเมื่อเดือน มิ.ย. 66 ทางสมาคมส่งเสริมผ้าไหมฯ ได้ประสานการออกแบบและผลิตเสื้อผ้าไหมไทย ด้วยผ้าจากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จำนวน 2 ชุด เพื่อมอบให้แก่นายเอมานูว์แอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ที่ชื่นชอบชุดผ้าไหมไทยเป็นพิเศษ เพื่อโปรโมตผ้าไหมไทยทางหนึ่ง ส่วนภายในประเทศนั้นเราได้ส่งเสริมการศึกษาด้านการออกแบบและตัดเย็บผ้าไหมไทยในวิทยาลัยอาชีวศึกษาหลายแห่ง และยังสนับสนุนอาชีพที่เกี่ยวกับไหมไทย เพื่อสร้างเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืนอีกด้วย
“รัฐบาลต้องการพลิกฟื้นเศรษฐกิจและสร้างรายได้ขนานใหญ่จากการค้าการลงทุน และการส่งออก โดยข้อมูลปีที่ผ่านมาเราส่งออกไหม ทั้งรังไหม ไหมดิบ เศษไหม และด้ายไหมมากกว่า 224 ตัน มูลค่ากว่า 184 ล้านบาท ตลาดหลักคือ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ จีน ฝรั่งเศส และ ตุรกี ส่วนไหมผ้าผืนและเสื้อผ้าสำเร็จรูป มีมูลค่าประมาณ 138 ล้านบาท ตลาดสำคัญ ได้แก่ สหรัฐฯ ฝรั่งเศส ไอร์แลนด์ ฮ่องกง และญี่ปุ่น ซึ่งมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง โดยเราจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ผ้าไทยติดตลาดและสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศให้มากที่สุด” นางนลินี กล่าว