xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กต่อ” จากนายร้อยอบรม ติดดาวเมื่ออายุ 33 ปี วันนี้ผงาดนั่งเก้าอี้ ผบ.ตร. คนที่ 14 **อนันต์ชัย ไชยเดช ทนายตัวตึง จากช่วย“เสรีพิศุทธิ์-ชูวิทย์” มาถึงทีม “บิ๊กโจ๊ก” งานแรกเปลี่ยนฉายา "โจ๊กหวานเจี๊ยบ" เป็น "โจ๊กอัคนี" พร้อมเผาทุกอย่าง !!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว

** “บิ๊กต่อ” จากนายร้อยอบรม ติดดาวเมื่ออายุ 33 ปี วันนี้ผงาดนั่งเก้าอี้ ผบ.ตร. คนที่ 14

บรรยากาศที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติช่วงบ่ายวานนี้ (26ก.ย.)คึกคักเป็นพิเศษ เพราะ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินทางมาเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่มีวาระการพิจารณาแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) คนใหม่ แทน “พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์” ที่จะเกษียณอายุราชการ ในวันที่ 30 กันยายนนี้

เป็นการเข้ามาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติครั้งแรก หลังเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จึงมีตรวจแถวกองเกียรติยศ ตามประเพณี โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ รอง ผบ.ตร. ให้การต้อนรับ ขาดไปเพียง “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” รอง ผบ.ตร. ที่กำลังมีเรื่องว้าวุ่นใจ เลยไม่ได้มาร่วมด้วย

สำหรับ รองผบ.ตร. ที่อยู่ในเกณฑ์มีสิทธิ์ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. ครั้งนี้ มี 4 คน เรียงตามลำดับอาวุโส ดังนี้

1. “บิ๊กรอย” พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ นักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 24 และนักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่นที่ 40 เกษียณอายุราชการ ในปี 2567

2. “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล นักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 31 และ จบปริญญาตรีโรงเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่น 47 เกษียณอายุราชการ ปี 2574

3. “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ นักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 25 และปริญญาตรีจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่น 41 เกษียณอายุราชการ ในปี 2569

4. “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล จบระดับปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นสิงห์แดง รุ่นที่ 38 ปริญญาโท ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีปทุม ก่อนเข้ารับราชการตำรวจ เคยทำงานเป็นพนักงานในบริษัท น้ำมันคาลเท็กซ์ อยู่ได้ 7 ปี สมัครรับราชการตำรวจ โดยเข้าอบรมหลักสูตรการฝึกอบรม ผู้มีคุณวุฒิทางด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ เพื่อบรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร (กอต.) รุ่นที่ 4

“บิ๊กต่อ” เป็นคนเดียวที่ไม่ได้จบเตรียมทหาร ไม่มีรุ่นจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ และเข้าเป็น “นายร้อยอบรม” เมื่ออายุ 33 ปีแล้ว

การประชุม ก.ตร. เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 15.00 น. ที่ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สตช. โดย “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นประธาน จาก ก.ตร. 16 คน ซึ่งเป็น รอง ผบ.ตร. 4 คน ที่ไม่มีสิทธิ์ออกเสียง เพราะเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และนายกฯซึ่งเป็นประธาน งดออกเสียงตามมารยาท จึงเหลือผู้มีสิทธิ์ออกเสียง 11 คน

แล้วที่ประชุมก็มีมติ 9 ต่อ 2 ให้ “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็น ผบ.ตร. คนที่ 14

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล
“พล.ต.อ.ต่อศักดิ์” เกิดวันที่ 27 ม.ค. 2507 ปัจจุบันอายุ 59 ปี หลังจากได้รับการบรรจุแต่งตั้งข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร (กอต.) หรือ “นายร้อยอบรม” แล้วก็เริ่มงานที่ กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ จากนั้นย้ายมาเป็นรองสารวัตร ที่กองปราบปราม ...ขึ้นเป็นสารวัตร ที่ตำรวจท่องเที่ยว และโยกกลับมาเป็น ผู้กำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองปราบฯ ก่อนตำแหน่งจะค่อยๆ ขยับขึ้นไปเรื่อยๆ จนเป็น รองผู้บังคับการตำรวจกองปราบฯ

ปี 2561 ขึ้นเป็นผู้บังคับการกองบังคับการถวายความปลอดภัย และปฏิบัติการพิเศษ (กองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ), ปี 2562 ขึ้นดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง, ปี 2563 ก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ,ปี 2564 ขยับมาที่ ตำแหน่ง ผู้ช่วย ผบ.ตร. และปี 2565 ขึ้นเป็น รอง ผบ.ตร. ในวันที่ 1 ต.ค.65 โดยรับผิดชอบงานด้านป้องกัน และปราบปราม

และปี 2566 วันที่ 27 ก.ย. ที่ประชุม ก.ตร. มีมติตั้ง “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” รอง ผบ.ตร. อาวุโสลำดับที่ 4 เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนที่ 14

ในชีวิตตำรวจที่วนเวียนอยู่กับกองปราบฯ ปราบมาเฟีย ผู้มีอิทธิพล และนักค้ายาเสพติด จนเป็นที่เข็ดขยาดของเหล่าร้าย แต่เมื่อว่าจากการปฏิบัติภารกิจ ก็มักจะเข้าวัด ปฏิบัติธรรม น้อมนำเอาหลักธรรม มาใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ จนได้รับฉายาว่า “มือปราบสายธรรมะ” และ “โรโบคอปสายบุญ” ...

วันนี้ “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์” ได้ขึ้นมายืนในจุดสูงสุดของการใช้ชีวิตราชการตำรวจ และจะครบกำหนดเกษียณในปีหน้า 30 ก.ย.67

**อนันต์ชัย ไชยเดช ทนายตัวตึง จากช่วย“เสรีพิศุทธิ์-ชูวิทย์” มาถึงทีม “บิ๊กโจ๊ก” งานแรกเปลี่ยนฉายา "โจ๊กหวานเจี๊ยบ" เป็น "โจ๊กอัคนี" พร้อมเผาทุกอย่าง !!


ว่าด้วยความเคลื่อนไหวของ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. หลังถูกค้นบ้าน ลูกน้องใกล้ชิดถูกจับข้อหาพัวพันแก๊งพนันออนไลน์ โดย “บิ๊กโจ๊ก” นั้นเชื่อว่าเป็น“การเมือง”ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่เบื้องหลังเล่นงานกลั่นแกล้งให้เสียหาย เพื่อสกัดเส้นทางไปสู่ดวงดาวของตัวเอง

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล
แม้ปากจะบอกว่า “ไม่เอาคืน” แต่ความหมายตามมาวาจาที่ลั่นออกมาว่า “ผมไม่เอาคืนหรอกครับ แต่ข้อมูลที่ผมมี มีอยู่มากแล้วกัน ถ้าผมเปิดเมื่อไหร่ละก็ ตายกันหมดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผมขอไม่บอกว่าข้อมูลของใคร ย้ำว่าไม่เอาคืนแต่ข้อมูลมีเยอะ”

งานนี้ดูกันออกว่า “บิ๊กโจ๊ก” ต้องการจะไปให้สุดซอยชนิด “ใครดีใครอยู่”

เมื่อเข้าสู่สงครามย่อมต้องตามมาด้วยการเรียกใช้บริการ “มือกฎหมาย” เป็นขุนพลช่วยรบ

ดังนั้นจึงเป็นที่มาการเปิดตัวของ “ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช” พร้อมทีมทนายที่สโมสรตำรวจ ถ.วิภาวดีรังสิต อย่างอึกทึกครึกโครม

เพื่อโหมกระพือว่า บิ๊กโจ๊ก “สู้นะโว้ย” เห็นว่า “ทนายอนันต์ชัย” จะมาดูแลเรื่องสำนวนคดีต่างๆ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่ถูกพาดพิงพัวกับเว็บพนันออนไลน์ และการขอหมายค้นจากศาล และอีกส่วนกรณี ลูกน้องทั้ง 8 ราย ในส่วนเส้นทางการเงิน ที่ไปโยงกับ “มินนี่” สาวเจ้าของเว็บพนันออนไลน์

เปิดฉากพอสปอตไลต์ส่อง “ทนายอนันต์ชัย” ที่รู้งานเป็นอย่างดี ก็ประกาศทันทีว่า เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ น่าจะถูกรังแก เพราะทำไมถึงเพิ่งมาเกิดในช่วงนี้ ช่วงที่จะมีการแต่งตั้ง ผบ.ตร. คนใหม่ ซึ่งงานนี้บอกคำเดียวว่า "ตายแน่ๆ" แต่ตัวเอง “เอาอยู่” จาก “โจ๊กหวานเจี๊ยบ” จะเปลี่ยนชื่อ “โจ๊กอัคนี” หมายถึง พระเพลิง เผาหมดทุกอย่าง ต้องแข็งแกร่งและ ชีวิตของบิ๊กโจ๊ก ก็แข็งแกร่งอยู่แล้ว

ถามว่า “อนันต์ชัย ไชยเดช” เป็นใครมาจากไหน... เขาเป็นเจ้าของบริษัท กฎหมายอนันต์ชัย ไชยเดช จำกัด เป็นคนอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา บ้านเดียวกันกับ “บิ๊กโจ๊ก”

อนันต์ชัย ไชยเดช
ชั่วโมงบินของทนายอนันต์ชัยจัดว่าไม่น้อยหน้าทนายตัวตึงที่โด่งดังในหน้าสื่อโซเชียลฯ ทั้งหลาย เพราะเคยทำคดีดังมา หลายคดี ปี 2544 เป็นทนายความให้กับกลุ่มผู้ค้าหูฉลามย่านเยาวราช ฟ้องร้องดำเนินคดีกับองค์กรอนุรักษ์สัตว์ป่านานาชาติ หรือ “ไวล์ดเอด” จนปรากฏภาพข่าวโด่งดังไปทั่วโลก

ปี2548 - 2549 เป็นทนายความให้กับ “เอ้” ชุติมา นัยนา อดีตนางสาวไทย และดารา นักแสดง ฟ้องร้องดำเนินคดีกับนิตยสารกอสซิปสตาร์ ที่กล่าวหาว่า เอ้เป็น “แม่เล้า”

ต่อมาปี 2549 - 2555 เป็นทนายความให้กับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจปราบปรามผู้มีอิทธิพลเกี่ยวกับสถานบริการ และแหล่งอบายมุข ฟ้องร้องดำเนินคดีกับ “เสธ.แดง” พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล และ “ปอ ประตูน้ำ” ไพรจิตร ธรรมโรจน์พินิจ

“อนันต์ชัย” ได้ฉายาว่าเป็น “ทนายกระดูกเหล็ก” หลังจากว่าความคดีฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้มีอิทธิพล จึงถูกกลุ่มผู้มีอิทธิพลใช้มีดสปาต้าฟันศีรษะที่บริเวณศาลอาญา เมื่อปี 2551

ในปีนี้ “อนันต์ชัย” ถูกเรียกใช้บริการ ทำคดีให้กับคนในวงการการเมือง ตำรวจ หลายคดี หนึ่งในนั้นคือ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” ยื่นฟ้อง “ทนายตั้ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด เรียกค่าเสียหาย100 ล้านบาท กรณีที่ทนายตั้ม แฉ “ชูวิทย์” แฉไปไถไป รับเงินจากเว็บพนันออนไลน์

ถึงตรงนี้คงได้เห็นลีลาท่าทางของ “ทนายอนันตชัย” จัดว่าไม่เบา นี่ก็โฆษณาไว้ล่วงหน้าว่า สัปดาห์หน้า จะมี "บิ๊กเซอร์ไพรส์"

หลังพิงเชือก สู้แหลก เอาคือเอา ไม่มีมวยล้มต้มคนดู ส่วนจะเป็นอะไร? งานนี้ก็ต้องติดตามกันอย่ากระพริบตา !


กำลังโหลดความคิดเห็น