“นายกรัฐมนตรี” พอใจร่วมเวที UNGA ถือเป็นก้าวแรกประกาศให้ชาวโลกรู้ว่าประเทศไทยเปิดแล้ว เผย ไทยชูสันติภาพที่ยั่งยืน หวังเข้าร่วมเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
วันที่ 22 ก.ย. 2566 ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.กระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์สรุปภารกิจในการเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ เป็นครั้งแรกว่า มีภารกิจที่หลากหลาย ไม่ใช่เฉพาะตนเอง แต่ทั้งนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ นายจักพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งต่างมีภารกิจมาก ซึ่งตนเองมีโอกาสได้พูดในหลายเวที เรื่องของโลกร้อน และสันติภาพ อากาศบริสุทธ์ ความมั่นคงทางทหาร ปรัชญาเศรฐกิจพอเพียง และอาริยะเกษตร รวมถึงมีโอกาสได้พบปะกับผู้นำหลากหลายประเทศ รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านสำคัญๆเช่น ประเทศมาเลเซีย ซึ่งได้พูดคุยเรื่องความมั่นคงทางชายแดน และส่งเสริมการค้าระหว่างกันให้สูงขึ้น
ส่วนวันนี้ถือเป็นไฮไลต์ของงานที่ได้กล่าวถ้อยแถลง ประมาณ 15 นาที นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้มีการพูดถึงปัญหาของโลก ที่เกิดจากอากาศร้อน ที่เรียกได้ว่าไม่ใช่โลกร้อน แต่เป็นโลกเดือด หลายประเทศก็ยัง มองไปข้างหลัง เรื่องของตัวเลขดัชนีชี้วัดต่างๆ ก็ต้องรวมพลัง และทำให้มันเกิดขึ้นได้ ตนเคยบอกไปหลายเวทีแล้วว่า การประชุมของสหประชาชาติครั้งนี้มีเรื่องของปัญหาที่ต่างกันหลายเรื่อง แต่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่เห็นตรงกัน เรื่องความมั่นคงทางอาหารก็เป็นเรื่องสำคัญ โลกร้อน โลกเดือดก็ทำให้ไม่แน่นอน ทางด้านภูมิอากาศที่เหมาะกับการทำกิจกรรม ประเทศเราเองเหมาะกับเกษตรกรรม มีความมั่นคงทางอาหารสูง แต่เรื่องน้ำท่วม น้ำแล้ง ที่เกิดจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวน ทำให้เราต้องกลับมาดูเรื่องนี้ว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง ทั้งเรื่องปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง และเรื่องอาริยะเกษตร ซึ่งต้องหาพื้นที่ให้เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่การเพาะปลูก รวมถึงการใช้หนองน้ำ เลี้ยงปลา หลายอย่างตนเชื่อว่า สามารถปรับมาใช้ได้
ส่วนเรื่องปัญหาสุขภาพ ที่มีโรคเพิ่มมากขึ้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เป็นเหมือน wakeup call หลังมีโรคระบาดทำให้เรารู้ว่าสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของมนุษยชนถูกจำกัด หรือได้รับการดูแลเยียวยาอย่างไม่ทั่วถึง แต่ประเทศไทยโชคดีที่มีระบบสาธารณสุขที่แข็งแกร่ง แต่แม้ว่าจะมีสาธารณสุขที่แข็งแกร่ง แต่มีการเคลื่อนไหวของประชากร เราดูแลดีอย่างไรก็ตาม ถ้าประเทศอื่นไม่ดูแลเพียงพอ สหประชาชาติเองก็ควรเข้ามาเป็นเจ้าภาพ เพื่อเป็นแน่ใจว่าทุกๆประเทศ มีระบบ health care ที่ดีเหมือนประเทศไทย ขณะที่ไทยเองยังไม่หยุดยั้ง ยังยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรค เพื่อทำให้คนไทยสบายมากขึ้นในการเข้าถึงระบบสาธารณสุขที่ตนเองอยากจะเข้า
ส่วนสันติภาพที่ยั่งยืนในความหมายของนายกรัฐมนตรี เป็นอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าสันติภาพที่ยั่งยืนเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก ประเทศไทยเรามีความเชื่อเรื่องความสงบ และความเชื่อเรื่องการจริญที่ยั่งยืน โดยไม่เข้าไปก้าวก่ายกิจการภายในของแต่ละประเทศ
“แต่เป็นที่ทราบดีว่า เรื่องความระหองระแหง ระหว่างประเทศมีหลายคู่ ส่วนประเทศเราแม้จะเป็นประเทศเล็ก ไม่ได้ใหญ่มาก ก็ภูมิใจในเอกราช ที่เรามีมาตลอด เราเองมีความภูมิใจ และมีความสบายใจ ในการที่เราอยู่ในภูมิศาสตร์ ที่เป็นที่ยอมรับของทุกประเทศ จึงเป็นหน้าที่ของผู้นำและรัฐบาลนี้ที่จะต้องดำรงไว้ซึ่งความเป็นเอกราชและไม่เข้าข้างใค เรามีความเชื่อในเรื่องสันติสุขและความเจริญที่ยั่งยืน” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ส่วนการสมัครเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ HRC นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ ไม่ใช่แค่ดูแลสิทธิมนุษยชนในประเทศเพียงอย่างเดียว เรามีประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ ไม่ว่า มาเลเซีย ลาว กัมพูชา และที่ละเอียดอ่อนที่สุด คือ เมียนมา ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่เราต้องดูแลหากมีผู้อพยพเข้ามา หรือมีผู้ที่เดือดร้อนบริเวณตะเข็บชายแดน เพราะเรามีชายแดนติดกับเมียนมากว่า 1,000 กิโล ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้อง ช่วยดูแลไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองความสำเร็จในการร่วมเวทีโลกครั้งแรกในฐานะนายกรัฐมนตรีอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครั้งแรกก็ต้องขอบคุณ กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานส่งเสริมการลงทุน BOI ที่ช่วยดูแลและเป็นเจ้าภาพในการนำนักธุรกิจเก่งๆ และสนใจมาร่วมทุนในประเทศไทยมาพบปะกับตน ถือเป็นนิมิตหมายและจุดเริ่มต้นที่ดี โดย 4 วันที่ผ่านมา ถือว่าตนได้ทำหน้าที่ คิดว่า เป็นก้าวแรกในการประกาศให้ชาวโลกรู้ว่า ประเทศไทยเปิดแล้ว เราพร้อมที่จะมีการลงทุนข้ามชาติ ทั้ง 2 ทาง ไม่ใช่แค่ให้เขามาลงทุนในไทยอย่างเดียว เอกชนไทยที่แข็งแกร่งหลายราย พร้อมลงทุนในต่างประเทศ เอาองค์ความรู้ประเทศเรามาใช้ประโยชน์ได้
ส่วนการพบผู้นำต่างชาติ ตอบรับกับรัฐบาลใหม่และนายกรัฐมนตรีใหม่อย่างไร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เป็นเรื่องที่ดี ทุกคนยินดีด้วย และทุกคนเข้าใจว่าถึงเวลาต้องมีผู้นำในการออกมาค้าขายกัน