เลขาฯ ก้าวหน้า ลั่นเวลาของผมหมดลงแล้ว ประกาศเผยแพร่งานเขียนถึงพรรค “ก้าวไกล” 2 ชิ้นสุดท้าย 2-3 วันนี้ พ้อออกมาแสดงความเห็นกี่ที โดนโจมตีตลอด อยู่ในสภาวะ “กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง” มาหลายปี รับเป็นคนนอกพรรคทั้งข้อเท็จจริง-ข้อ กม. ย้ำ สิ่งที่ทำได้คือสื่อสารตรงไปตรงมา แม้เหมือนเอสเปรสโซ่ รสอาจขมเข้มบ้าง แต่ช่วยให้ตื่น
วันนี้ (22 ก.ย.) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กถึงการแสดงความเห็นต่อพรรคก้าวไกล ว่า
เมื่อไรก็ตามที่ผมออกมาวิจารณ์หรือเสนอแนะพรรคก้าวไกล หรือ ส.ส.พรรคก้าวไกล มักจะมีความเห็นตอบโต้ผมทำนองว่า…
ทำไมไม่พูดกันภายใน ทำไมไม่ส่งไลน์กลุ่มหากัน มาพูดข้างนอกแบบนี้ พรรคโดนโจมตีหมด
ทำไมไม่รู้จักระมัดระวัง เดี๋ยวจะโดนเล่นงานข้อหาครอบงำพรรค
นี่ไง ผู้บงการพรรคตัวจริงมาแล้ว
ตกลงปิยบุตรมันหวังดีกับพรรคหรือเปล่า? มันทะเลาะอะไรกันอีกนะ?
ผมเองเป็น “คนนอก” ของพรรคก้าวไกล ทั้งตามความเป็นจริงและตามข้อห้ามทางกฎหมาย
บางครั้ง พรรคก้าวไกลตั้งไปเป็นผู้ช่วยหาเสียงบ้าง เชิญไปเป็นวิทยากรบรรยายพิเศษบ้าง หรือมีโอกาสได้กินข้าวพูดคุยกับ ส.ส.อยู่บ้าง แต่ผมเองก็ไม่มีอำนาจไปบังคับสั่งการพรรค และหากพรรคไม่เชิญไปบรรยายเป็นครั้งคราว ก็ไม่มีโอกาสได้สื่อสารใดๆ กับ ส.ส.หรือสมาชิกพรรค
วิธีการเดียวที่ผมมีอยู่และพอจะเป็นประโยชน์ต่อพรรคที่ผมเอาใจช่วย ก็คือ สื่อสารตรงไปตรงมาในที่สาธารณะ เพราะอย่างน้อยก็รับประกันได้ว่า ความเห็นของผมทั้งหมดจะไปถึงสมาชิกพรรคทุกคนที่ได้เข้ามาอ่าน ไปถึง ส.ส.ที่ได้เข้ามาอ่าน และไปถึงประชาชนที่เลือกหรือสนับสนุนพรรคก้าวไกลทุกคน หากผมนำความเห็นไปบอกกับแกนนำบางคนหรือ ส.ส.บางคน เราก็ไม่อาจทราบได้ว่าความเห็นเหล่านั้นจะถูกส่งต่อให้พรรค หรือ ส.ส. หรือสมาชิกพรรค หรือไม่
การแสดงความเห็นของผมถึงพรรคก้าวไกล ไม่เข้าข่ายครอบงำพรรค กกต.เคยยกคำร้องมาแล้วในหลายกรณี และผมเองก็ไปสั่งพรรคไม่ได้ เขาจะทำไม่ทำ ก็เป็นเรื่องของพวกเขา หากตีความว่าการแสดงความเห็นของผมเข้าข่ายครอบงำพรรค ต่อไป นักวิชาการ ประชาชน สื่อมวลชน ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล ก็ไม่สามารถวิจารณ์ เสนอแนะพรรคก้าวไกลได้เลยหรือ?
ในส่วนของบรรดาผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล และเพื่อน ส.ส. คณะผู้นำของพรรคก้าวไกล ขอโปรดเข้าใจด้วยว่า นี่คือความเห็นของกัลยาณมิตรคนหนึ่ง ซึ่งเอาใจช่วย สนับสนุน และฝากความหวังไว้กับพรรคก้าวไกลในการเปลี่ยนแปลงประเทศในช่วงหัวต่อหัวเลี้ยวเช่นนี้
ผมเองทราบดีว่า เมื่อไรก็ตามที่แสดงความเห็นถึงพรรคก้าวไกล ก็อาจมีโอกาสที่ผู้สนับสนุนพรรคจะไม่พอใจผมหรืออาจตอบโต้ก่นด่าผม คงมีส่วนน้อยที่อาจจะเข้าใจหรือเห็นด้วย
การวิจารณ์พรรคก้าวไกลโดยตรง ย่อมนำมาซึ่งความไม่พอใจที่มีต่อผม หรือทำให้ความนิยมที่มีต่อผมลดลงด้วยซ้ำ เอาเข้าจริง ผมอยู่เฉยๆ ทำตนเป็นผู้ทรงภูมิ นิ่งเฉย หรืออวยพรรคก้าวไกล ผมคงได้คะแนนนิยมและได้ร้บการชื่นชมแน่ๆ
การแสดงความเห็นของผมถึงพรรคก้าวไกล ไม่ได้ทำให้ผมได้ประโยชน์อะไรเลย มีแต่จะเพิ่มจำนวนคนที่ไม่เข้าใจและเกลียดผมมากขึ้นด้วยซ้ำ จากเดิม ฝักฝ่ายอนุรักษ์นิยมจารีตและฝ่ายความมั่นคง ก็ไม่ชอบผมและปฏิบัติการทางข้อมูลข่าวสารต่อผมต่อเนื่องมามากกว่าทศวรรษ พอพรรคก้าวไกลแข่งขันกับพรรคเพื่อไทยอย่างเข้มข้นในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ก็ไม่พอใจผม (จากเดิมที่สนับสนุนผม ตั้งแต่สมัยผมเป็นนักวิชาการ) และผมก็ตกเป็นเป้าโจมตีของผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยบางคน มาวันนี้ พอผมวิจารณ์พรรคก้าวไกลตรงไปตรงมา ผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลก็เริ่มต่อต้านไม่พอใจผมอีก
ทั้งหมดนี้ มีแต่เสียกับเสีย ผมไม่ได้อะไรเลย
แล้วผมทำไปทำไม?
จะไปวิจารณ์พรรคก้าวไกล ให้คนสนับสนุนพรรคก้าวไกลมาด่าผมอีกทำไม ในเมื่อก็มีอีกหลายกลุ่มไม่พอใจความเห็นของผมอยู่มากแล้ว?
คำตอบ ก็คือ ผมยังเชื่อมั่นว่าพรรคก้าวไกลเป็นความหวังของการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย
การปล่อยให้พรรคก้าวไกลทำอย่างไรก็ได้ โดยไม่มีคนกล้าท้วงติงอย่างตรงไปตรงมาในเรื่องที่อาจสร้างความไม่สะดวกสบายใจให้กับผู้สนับสนุน ย่อมทำให้พรรคก้าวไกลเดินออกนอกแนวทางได้
พรรคการเมืองที่หลงเหลืออยู่ มีจำนวนไม่มากที่เราฝากความหวังไว้ได้ เมื่อผมฝากความหวังไว้กับพรรคก้าวไกล ผมย่อมคาดหวังและเรียกร้องเป็นพิเศษ
ตั้งแต่ผมเริ่มทำงานวิชาการต่อเนื่องมาสู่การเมือง ก็คิดอยู่เสมอว่า การแสดงความเห็น บางครั้งอาจทำให้คนไม่ชอบ บางครั้งอาจทำให้คนไม่นิยม แต่ถ้าเราเสนอความเห็นนั้นอย่างสุจริตใจ ตามจิตสำนึกของเรา และคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ เราก็จำเป็นต้องแสดงความเห็นนั้นออกไป
ผมเตรียมข้อเขียนเกี่ยวกับพรรคก้าวไกลเอาไว้ ข้อเขียนนี้สื่อสารอย่างตรงไปตรงมา และน่าจะเป็นข้อเขียนสุดท้ายที่ผมเขียนวิจารณ์ถึงพรรคก้าวไกล หลังจากนี้จะเขียนงานวิชาการล้วนๆไม่เกี่ยวกับพรรคก้าวไกล คงจะดีกว่า
ผมอยู่ในสภาวะ “กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง” มาหลายปีแล้ว คิดว่า ควรต้องตัดสินใจเด็ดขาดเสียที
เดิมที ผมตั้งใจจะไปหางานอย่างอื่นทำ ค่อยๆ ถอนตัวออกจากแวดวงการเมือง ดังที่เคยโพสไว้เมื่อสิ้นปีที่แล้วต่อต้นปีนี้ แต่บังเอิญมีกรณีกับพรรคก้าวไกลและคณะนำชวนให้ผมกลับมาช่วยหาเสียงให้พรรคก้าวไกล ผมยินยอมกลับมา เพราะเล็งเห็นถึงเป้าหมายใหญ่ในการเลือกตั้ง ทำให้ผมต้องยกเลิกแผนการที่วางไว้ทั้งหมด
มาบัดนี้ การเลือกตั้งผ่านพ้นไปแล้ว พรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน พรรคก้าวไกลกำลังจะเปลี่ยนหัวหน้าพรรค และคงดำเนินการตามแนวทางในแบบของเขา ทั้งการบริหารภายในพรรค และทั้งการดำเนินการทางการเมือง ดังนั้น ผมก็ควรจบภารกิจในทางการเมืองรอบนี้ได้แล้ว
จากนี้ไป ผมขอกลับไปทำอะไรหลายๆอย่างตามแผนการที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปี เช่น
เขียนหนังสือที่ค้างไว้หลายปีนับตั้งแต่มาตั้งพรรคการเมือง
จัดรายการในช่องทางของผมเพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนในเรื่องรัฐธรรมนูญและกฎหมายมหาชน
ทดลองยกร่างรัฐธรรมนูญรายมาตราและคำอธิบาย เผื่อจะเป็นแบบให้ใครนำไปใช้ก็ได้
บรรยายในสถาบันการศึกษา
เรียนภาษาสเปน
อ่านหนังสือ ดูหนัง ที่สำคัญ คือ ลดน้ำหนัก หัดขี่จักรยาน และเรียนว่ายน้ำ !!!
เป็นต้น
สำหรับข้อเขียนชิ้นสุดท้ายถึงพรรคก้าวไกลที่จะทยอยเผยแพร่ใน 2-3 วันนี้ มีอยู่ 2 ตอน
ตอนแรก สิ่งที่พรรคก้าวไกลต้องเผชิญในระยะเวลาอันใกล้
ตอนที่สอง ข้อคิดถึง ส.ส.และคณะนำพรรคก้าวไกล
ขอให้คิดเสียว่า ความเห็นของผม ก็เหมือนเอสเปรสโซ่ 2 ช็อตหลังตื่นนอน รสอาจขมเข้มบ้าง แต่มันอาจช่วยให้ตื่นได้
แต่ถ้าอ่านแล้ว ทำให้หงุดหงิดโมโห ก็ขอให้ข้ามผ่านไปครับ
…
ผมยืนยันว่า ผมยังมีความหวังว่าประเทศไทยของเราจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้ และพรรคก้าวไกลจะเป็น “ยานพาหนะ” สำคัญในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
แต่ทว่า… การมีความหวัง ก็คนละเรื่องกันกับการหมดเวลาหมดรอบของเรา
วันนี้ ตอนนี้ หมดเวลาของผมแล้ว
ถึงคราวของคนอื่นๆแล้ว
แลไปข้างหน้า
จนกว่าเราจะพบกันอีก